Archive for the ‘Travel’ Category
ทริป ท่องเที่ยวสวนพฤกษศาสตร์ระยองมาแล้วจ้า https://www.facebook.com/rayongbotanic เป้าหมายจะไปพาย sup แต่สุดท้ายพายคายัค แวะชมดอกไม้ที่โรงงานปตธ. https://www.facebook.com/miracleofnaturalgas/
ออกเดินทางกัน 8.30 น. มุ่งสู่ Miracle of Natural โรงงานปตธ ที่ระยอง เดินทางกันสบายๆ หยุดห้องน้ำสักรอบ ไปหาที่จอดรถเข้าชมดอกไม้กัน จอดเรียงรายกันเต็มสองข้างทาง มีลานดินให้จอดด้วย
มีให้ลงทะเบียน แจ้งจำนวน ได้บัตรคิวเป็นสีๆ พร้อมแจ้งเวลาให้เดินเข้าได้ตอน 11.40 น. ถึงเวลาก็เดินเป็นแถวไปจุดชมดอกไม้ เป็นฮอลล์กว้างๆ ปลูกดอกไม้ประดับหน้าหนาว ทิวลิปหลายสายพันธ์ ดัฟฟาเดล ไฮเดรนเยีย บิโกเนีย คนแน่นมาก เดินหามุมถ่ายรูปท่ามกลางอากาศเย็นๆ กันไป ก่อนที่ต้องออกไปเจอความร้อนของเมืองไทยกันต่อ
สมควรแก่เวลา ไปหาข้าวกลางวันกันจ้า ตั้งใจจะไปกินก๋วยเตี๋ยวกั้งบ้านเพ แต่คิวยาวเกิน เลยทานร้านข้างๆ แทน ความว่า ร้านนี้มีมาตั้งแต่ตอนที่ ยังไม่มีร้านก๋วยเตี๋ยว เป็นพียงแต่รีสอร์ท จนมาเพิ่มร้านก๋วยเตี๋ยวกั้ง ร้านดังในปัจจุบัน
อิ่มจากร้านที่ไม่ใช่เป้าหมาย ขับต่อไปสวนพฤกศาสตร์ มีเลยเบาๆ ขับเข้าไปยังมีหลงนิดๆกับป้ายตรงไปของคนที่ต้องการพายคยัค จอดรถในที่ร่มๆ เปลียนชุด เตรียมตัวให้พร้อม ถามข้อมูลนู่นนี่ มีบริการดังนี้
มีเรือเครื่อง ลำละ 600 บาท นั่งได้ 8 คน พาวนรอบใหญ่ และบางส่วนของเส้นที่พายคยัค
มีจักรยานให้เช่า คันละ 60 บาท ปั่นชมได้ ใช้เวลา 1 ชั่วโมง ระยะ 2-3 กิโล
มีพายคยัค ลำละ 100 บาทต่อชั่วโมง ลำละ 2 คน ทั้งของสวนเอง และ ของชาวบ้าน มี sup ด้วย แต่ต้องไปเช่าของชาวบ้าน ที่นี่เน้นคนคยัคแฮะ จากระยะพาย พายคายัค 2 คนดีกว่า มีคนช่วย ขากลับมีนิ่งๆ เหมือนกัน 555
เนื่องจากอากาศร้อน เราเลยไปนั่งเรือเครื่อง ได้เดินเล่นบนแพหญ้า สนุกดี ยวบๆ พี่ธงกับพี่โจอี้ เดินกันได้หนักแน่น มีเหตุตื่นเต้น เมื่อหัวหน้า ผู้พาเราเที่ยวเอ่ยว่า น้ำมันหมด ตอนแรกนึกว่าเล่นมุก ปรากฎของจริงจ้า โทรหาลูกน้องให้มาช่วยเติมน้ำมัน ลูกน้องรับโทรศัพท์ก็นิ่งเชียว แสดงว่า เกิดเหตุบ่อยๆ หัวหน้าก็รับว่าใช่ 555
ทุ่งบัวกว้างอยู่ มีบัวอยู่ 2 ชนิด บัวท้องถิ่น คือ บัวปทุม กับบัวนำมาปลูก บัวสุทธาสิโนบล. เจ้าฟ้าสักองค์นำเข้ามา ทุ่งบัวชมด้วยตาเปล่า สวยจริงๆ มีเกาะนกด้วย นกน้อยใหญ่เกาะอยู่กันเต็ม ถ้าน้ำขึ้น จะได้รอบใหญ่กว่านี้
ระหว่างทาง พี่โจอี้สอบถามคนพายคยัคตลอดว่า เหนื่อยไหม ควรพายไหม แหมมมมมมม
แดดอ่อนๆ แดด 5 โมงเย็น พายคายัคกำลังดีเลยจ้า พี่ธงสละตุ๋ยให้ เลยได้คู่พาย แหะๆ งานนี้มากับคนมีคู่ ไปคอยแยกคู่เค้าเรื่อย พอพี่สาวอีกคนที่ไม่ได้มารู้ว่า พายคยัค ก็เอ่ยว่า อ้าว ไม่รู้ ไม่งั้นก็ไปด้วย มีคนพายด้วยจะมา แต่พาย SUP พายคนเดียว ไม่เอา เหอๆๆ
ขับรถไปทั่พัก บ้านโกงกาง ก็มืดละ ต้องจอดแถวท่าเรือแล้วเดินเข้าไป บ้านน่ารักจ้า ตั้งใจสร้างมาก อาหารสามารถสั่งล่วงหน้าได้ แต่สื่อสารกันผิดพลาด นึกว่า ไม่มีอาหาร และอยากเข้ามาถึงที่พักก่อน เพราะมืดแล้ว เลยไม่ได้แวะกิน สุดท้ายก็อิ่มอร่อย ด้วยร้านที่ที่พักโทรสั่งให้ ตอนแรกนึกว่าจานเล็กๆ พอมา โอ้เยอะอยู่ สุดท้าย หมดจ้า 555
ที่พัก คือ บ้านโกงกาง โซนบ้านริมเลน คืนนั้นั่งชิวๆ กันริมน้ำ ดื่ม ฟังเพลง เล่นเกมทายคำกันไป ร่วมๆ เที่ยงคืนก็แยกย้าย
เช้านี้ ตื่นมาทานข้าวต้มเดินชมบ้านอีกโซนด้วย ขยับตัวออกไปสวนพฤกษศาสตร์ระยองอีกรอบ คราวนี้เราจะไปปั่นจักรยานกันจ้า พี่กั้งบอก ฟิตมาก แต่ถามหัวหน้าแล้วว่าอยู่ในร่ม 80% นะ เลยมา ซึ่งก็ดีนะ ปั่นแล้วเลยไวขึ้น ไปใช้เวลาที่ป่าเสม็ดโบราณ ถ่ายรูปกันได้เลย มีป้ายชี้ให้เดินเข้าไปได้อีก แต่ไม่เข้าใจ เหอๆ ป่าเสม็ดโบราณ ทรงสวย เปลือกไม้นิ่ม มีกลิ่น ปั่นจบรอบไม่รู้ตัว
มุ่งสู่ร้านน้องผึ้ง ริมหาด ในตัวเมืองระยอง เพื่อเจอพี่แชมป์ เจ้าถิ่นเมืองระยอง นั่งคุยไปกินไปกันยาวๆ ร้านนี้อร่อยนะ แนะนำเลย แยกย้ายกันตอนบ่ายสามครึ่ง มุ่งสู่กรุงเทพ เป็นอันจบทริป
ผู้ร่วมขบวนการ พี่โจอี้ พี่กั้้ง พี่ธง ตุ๋ย กบ เดินทางด้วย รถฮอนด้า ซีวิค ระยะไม่ไกลมาก พอเบียด 5 คนได้
ค่าใช้จ่าย เฉลี่ยคนละ 2200 บาท
ที่พัก
บ้านโกงกาง ห้อง Duluxe ห้องละ 1800 บาท เพิ่มคนที่ 3 คนละ 300 บาท
ห้อง Standard ห้องละ 1500 บาท เหมาทั้งบ้าน 3 ห้อง 4500 บาทจ้า ถามไว้เป็นข้อมูล
ค่าทิป รร 200
ค่ากิจกรรม
- ค่าเรือ 600 + ค่าทิปเรือ 100
- ค่าคายัค 300
- ค่าจักรยาน 250
ค่าอาหารและเครื่องดื่ม
- มื้อกลางวันร้านคุณเจี๊ยบ 700
- น้ำ 50 บาท ตุ๋ย
- ค่าน้ำแข็ง 10
- มื้อเย็น 920
- มื้อกลางวัน 2200
- ทิปร้านอาหาร 40 พี่กั้ง
- น้ำมะพร้าว 165
ค่าเดินทาง
- ค่าทางด่วน 200+100
- ค่าน้ำมัน 1205
ปากีสถาน Fairy Meadows ใบไม้เปลี่ยนสี ในที่สุดเราก็ได้ไปเยือน 14-25 ต.ค. 2565
Posted December 3, 2022
on:ปากีสถานเป็นหนึ่งในประเทศที่มองมานาน แต่ด้วยปัจจัยหลายอย่าง ทำให้ยังไม่ได้ไปซะที ในที่สุด เมื่อผ่านพ้นโควิด ทริปนี้ก็กลับมาให้ได้คิดอีกครั้ง กอปรกับค่าตั๋วเครื่องบินที่ไม่แพงเวอร์ ราคารวมๆ ยังพอเป็นตัวเลขที่คุ้นเคย การเดินทางไปปากีสถานจึงเกิด คราวนี้เราตัดสินใจไปแจมกับทัวร์ ทริปดีดีดอทคอม กับผู้ร่วมทริป 11 คน ไกด์ไทยมือใหม่สำหรับปากี น้องเพชร ไกด์ท้องถิ่นขาเทรคแห่งปากีสถาน นาม เชอบาร์ด ทริปผู้นำแมนๆ กับ สาวๆ 10 + ชาย 1 จะเป็นยังไง ติดตามกันได้เลยค่ะ
การเดินทางในปากีสถาน โดดเด่นด้วยเส้นทางไฮเวย์ โคราโคลัม แต่ แต่ แต่ ช่วงที่สวยเราสามารถไปเริ่มแถว เมือง Gilgit เลยได้นะ ช่วงจากอิสลามาบัดไป จะค่อนข้างแห้งแล้ง และมีการก่อสร้างเขื่อน ทั้งยังมีด่านให้ต้องผ่านเพื่อความปลอดภัยเยอะมากจริงๆ ขาไป ไม่ค่อยได้สังเกตเท่าไหร่ เพราะเรา ตัดไปทาง Naran Highway กว่าครึ่งทาง ส่วนขากลับนั้น กลับเส้นคาราโคลัม ไฮเวย์เต็มๆ เดินทางร่วม 2 วัน แถมระหว่างทางท่องเที่ยวบางช่วง ก็ต้องกะเวลาดีๆ กับการปิดซ่อมแซมถนน เหตุดินสไลด์แบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว การประท้วงย่อมๆ และอีกหลากหลายเหตุการณ์ที่สามารถเกิดขึ้นได้ สิ่งที่เราต้องทำก็คือ ใจเย็น และ ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์กันไป
วันที่ 1 14 ต.ค. กทม – อิสลามาบัด
เราเดินทางสู่อิสลามาบัด ด้วย สายการบินไทย ด้วยค่าตั๋วประมาณ 22,000 บาท TG349 ออกเดินทาง 19.00 น. ถึงอิสลามาบัด 22.10 น. ใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง
นอนพักที่ Hill View Hotel ในละแวกโรงแรม มีที่ชอปปิ้งประมาณนึง แต่เราถึงดึก และออกเช้า จึงไม่ได้รับรู้อะไรด้วย มารู้ตอนขากลับที่ผ่านมาแถวนี้อีกครั้ง
วันที่ 2 15 ต.ค. อิสลามาบัด – Chilas
นั่งรถกันยาวๆ ผ่านทาง Naran Highway ที่เขาว่าช่วยย่นระยะทางไปได้หลายชั่วโมง และมีจุดให้แวะชม แวะถ่ายรูปบ้าง มื้อกลางวัน หยุดร้านข้างทาง ทานปลาเทราซ์สดๆ เพิ่งตกได้ แต่ใช้เวลาทำนาน ไปหามุมถ่ายรูปกันจนมานั่งรอกันอย่างเดียว ช่วงเย็นๆ ผ่านจุดสูงสุดของเส้นทางนี้ กับอากาศที่หนาวเย็นมากกกก เสื้อไม่ค่อยพร้อมเท่าไหร่ แสงใกล้หมด ลมแรง มี Zipline ด้วย Babusa Top หนาวจริงจ้า เส้นทางนี้ใกล้จะปิดแล้ว ถือว่าเราโชคดี ได้เดินทางด้วยเส้นทางนี้ก่อนจะปิด ข่าวว่า หลังจากเราใช้ อีกไม่กี่วันก็ปิดแล้ว แม้ระหว่างทางจะดูเงียบเหงาไปบ้าง เพราะโรงแรม ร้านรวงส่วนใหญ่จะปิดแล้ว พบกับฝูงแพะ ฝูงแกะที่โดนไล่ต้อนลงมาหลายฝูงเลย
พัก Shangrila Chilas Hotel คืนนี้จัดกระเป๋าเพื่อเตรียมขึ้น Fairy Meaodow มีเสื้อหนาวเท่าไหร่ เอาขึ้นไปให้หมด โซนที่เราได้พัก ค่อนข้างเก่า และไม่สะอาด ฝุ่นเยอะมากกก ห้องเรามีปัญหาว่า น้ำไม่ค่อยอุ่น คาดว่า เพราะคนใช้พร้อมกันเยอะ ต้องรอดึกๆ เลย ถึงจะค่อยมีน้ำร้อนให้เรา พี่จอยเพื่อนร่วมห้อง แทบจะทำความสะอาดห้องใหม่ทั้งห้องเลย
วันที่ 3 16 ต.ค. 65 Chilas – Fairy Meodows
ทานอาหารเช้าที่โรงแรม วิวรอบๆ สวยดี วิวภูเขา มีทางแม่น้ำ เราแวะชมภาพวาดเก่าแก่บนหิน คาดว่า เกี่ยวกับพุทธศาสนา อากาศวันนี้ค่อนข้างร้อน ก่อนจะมุ่งหน้าไปสู่สะพาน Rikot จุดเริ่มต้นการเดินทางสู่ Fairy Meadow เปลี่ยนมานั่งรถจิ๊ป คันละ 4 – 5 คน นั่งให้เต็มๆ เข้าไว้ จะดีที่สุด เพราะทางคดเคี้ยว เลี้ยวไปมา ก็ค่อนข้างจะโขยกเขยก ทางมีความเสียวในระดับหนึ่ง วิ่งตรงไปสู่ภูเขาหิมะ มีคนงานซ่อมแซมทางเป็นระยะๆ เห็นเขาเรียงหินทำทางกั้น เรียงกันสวยเชียว
ต่อจากรถจิ๊ป เราก็ทานข้าวกลางวันกันให้อิ่ม และเริ่มเดินขึ้น สำหรับคนจะเดิน แต่กลุ่มเรานั้น มุ่งมันกับการนั่งม้าค่ะ พูดซะจนน้องๆ คู่ชายหญิงเปลี่ยนใจมานั่งม้าด้วยเลย แต่ แต่ แต่ มีตัวแทน 2 ท่าน บอกว่า จะเดิน และมุ่งมั่นว่าจะเดิน เป็นผู้สูงวัยอายุ 60 กว่าๆ ไกด์ไทยก็ต้องเดินด้วย ระหว่างทางที่พักม้า เราก็ได้เห็น พี่ๆ ตัวแทน 2 คน ขี่ม้ามาอย่างสง่างาม 555 ความว่า เดินไปได้สัก 100 เมตร ม้าก็ตามมาพร้อมกับคนจูงม้า พี่เค้าก็สงสัยว่าตามมาทำไม ส่งภาษาถามกัน สุดท้ายก็เลยใจอ่อน ช่วยให้ได้มีงานทำ ฟังดูใจดีเนอะ และเฉลยในที่สุดว่า เดินไม่ไหวแล้วเหมือนกัน ไกด์เราก็โชคดี เจอม้าพักหรือดักอยู่ระหว่างทาง เลยได้ขึ้นม้ามาด้วย ส่วนไกด์ท้องถิ่นขาเทรคเรานั้น เดินตัวปลิว แทบจะนำม้าอยู่แล้ว
ม้ามีเยอะกว่าคนท่องเที่ยว เลยต้องมีการจับฉลากว่า ใครจะได้ทำงาน รวมทั้งการแบกกระเป๋าด้วย ค่าขี่ม้า 4100 รูปนะ ทิปต่างหาก
วิวระหว่างทาง สวยมากกกกกกก ทางค่อนข้างแคบ เราเชียร์ให้กำลังใจกลุ่มคนไทยที่เดินขึ้น ส่วนเราก็ชิวๆ กันบนหลังม้าไป คนจูงม้าก็เดินตัวปลิวเชียว
เดินขึ้นกันจนเริ่มเห็นที่พักด้านบน ที่พักเราคืนนี้คือ Fairy Meadow Cottage อยู่ลึกกกกกก เข้าไปจากชาวบ้านพอควร ถ้าเราเดินขึ้นเองเราคงงอแงไปแล้ว ไม่เดินแล้ว แต่นี่นั่งม้าไปจนถึงที่พักเลยไม่ว่า อะไร 5555 แต่หลังจากนั้น ต้องเดินกลับมาแถวที่พักเยอะๆ เพื่อมาถ่ายรูปกับบ่อน้ำสะท้อนเงาภูเขา คือ บ่อน้ำนะคะ ไม่ใช่ Lake เราถ่ายกันแบบไม่มีหลอกมุมใดๆ มื้อเย็น นั่งทานอาหารกับพื้นในห้องรวมที่มีเตาผิง กับความสูงจากระดับน้ำทะเลที่ 3,300 เมตร
ที่พักเรา มีวิวภูเขาเต็มๆ Nanga Parbat มีหิมะคลุมอยู่บนยอดเล็กน้อยๆ และอยู่ใกล้กับจุดชมวิวกลาเซียร์สีดำ ซึ่งเราจะไปเดินกันพรุ่งนี้เช้า
พัก Fariy Meadows Cottage โซนพึ่งสร้างเสร็จ ผ้าห่มอุ่น นุ่มสบาย พอมีน้ำร้อนให้บางเวลา แต่ผ้าห่มห้องเราไม่ครบ ห้องอื่นๆได้คนละ 2 ผืน เราได้ คนละผืน ก็พับทบเอา
วันที่ 4 17 ต.ค. 65 Fairy Meadows – Hunza – Eagle’s nest
เมื่อคืน ทุกคนเข้านอนเร็ว มีอาการแพ้ความสูงกันเบาๆ แวบมองทางช้างเผือก ลุ้นภาพจากช่างภาพประจำกลุ่ม ยามเช้าก็มีคนออกมาถ่ายแสงเช้า นั่งทานอาหารเช้า จาปาตี นาน ไข่เจียวทรงสามเหลี่ยม ยังใส่เสื้อหนาวเต็มๆ เดินลงผ่านธารน้ำ เข้าป่าสน มุ่งสู่ธารน้ำแข็งสีดำ ธารน้ำแข็ง Raikot อายุเป็นพันๆ ปี
กลับมาถอดชุดบางส่วนออกเพื่อเตรียมตัวลง การจับฉลากของ Porter ยังคงมีต่อไป คนจูงม้าบางคนก็มีแบกกระเป๋ามาด้วย รับสองจ็อบเหรอ เราก็สบตาคนจูงม้าของเรากันเอง เค้าต้องจำเรานะ บางทีเราก็จำเค้าไม่ได้ พี่สาวเราคนจูงม้าคนเดิมไม่อยู่ ต้องรอจนเหลือคนสุดท้าย ถึงรู้ว่า อ้อ เปลี่ยนคนนะ ขาลงก็บรรยากาศดี เราลงแบบหันหลังให้พระอาทิตย์ แสงสวย ลงด้วยความรวดเร็ว ชั่วโมงกว่าๆ ต่อด้วยรถจี๊ปคันเดิม มีอุบัติเหตุระหว่างทางลง คล้ายว่า ระเบิดหินแรงไป ทำให้ก้อนหินออกมาเยอะกว่าปกติ แล้วต้องเคลียร์ มีรถจอดรออยู่ก่อนหน้าเรามา เกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว ก็ลงไปให้กำลังใจกัน รออีกไม่นานมากก็ได้เดินทางต่อ
นอกจากนี้ ก็มีเหตุรถน้ำมันหมดกลางทาง แล้วขวางทางกันอยู่ ก็รอกันอีกพักใหญ่ให้แก้ปัญหากันไป ถึงจุดที่เราขึ้นรถ ทานข้าวกลางวันที่นั่นเลย เดินทางไป Gilgit ระหว่างทางแวะชม จุดตัดของภูเขา 3 เขา ได้แก่ หิมาลัย ฮินดูกิซ และ คาราโครัม พร้อมชมวิวแม่น้ำสินธุและ แม่น้ำกิลกิต
มุ่งสู่ Hunza Valley ระหว่างทางชมเส้นทางสายไหม สายเก่า ไกด์พยายามชี้ เป็นแนวเส้นเดินทางเล็กๆ บนภูเขา และ Rakaposhi Glacier View Point อันนี้ก็มองไม่ค่อยเห็นแล้ว กว่าจะถึงที่พัก ก็ร่วม 2 ทุ่ม ที่พักบนเขา มองไปคือตัวเมือง ในละแวกก็เต็มไปด้วยโรงแรมที่ดูดี
พัก Eagle’s Nest Hotel
วันที่ 5 18 ต.ค. 65 Eagle’s Nest – Attabad Lake – Gulmit view point – Ghulkin Village – Passu Glacier – Borith Lake – Hussaini Suspension Bridge – Passu
เช้านี้เราตื่นแต่เช้าเพื่อไปชมแสงเช้าจากจุดชมวิวข้างๆ ที่พักเรา มีสมาชิกแค่กลุ่มเราและไกด์เท่านั้น ที่เหลือหายไปไหนกัน ค่อยๆ เดินขึ้นจุดชมวิว มีผู้คนรออยู่ประมาณหนึ่ง แต่เนื่องจากเราอยู่ในหุบเขา ล้อมรอบไปด้วยแนวเทือกเขาเกือบ 360 องศา ทั้ง ยอด Rakaposhi, Lady Finger, Diran, Goden Peak, Ultra I, Ultra II และอื่นๆ ทำให้แสงเช้าที่ได้ ไม่ได้เป็นสีส้มๆ เท่าไหร่ กว่าจะเริ่มเห็นแสง สรุปได้ว่า ให้ขึ้นมาตอนสายกว่านี้หน่อยได้ สัก 7 โมง อาจจะกำลังดี หรือ ขึ้นมาหลังทานข้าวแบบที่พาคนที่เหลือขึ้นมาก็ได้ แต่ข้อดีของการมาเช้าคือ เราอยู่จนคนกลับลงไป มีช่วงที่ข้างบนเป็นของเรา ก่อนที่จะมีกลุ่มใหม่ๆ ขึ้นมา วิวหมู่บ้าน Hunza กับใบไม้ที่เริ่มๆเปลี่ยนสี ธารแม่น้ำ แนวเทือกเขา ดูแล้วสวยจริงๆ
กลับลงไปทานข้าวเช้า และเตรียมตัวออกเดินทาง รถค่อยๆ ไล่ลงมาที่หมู่บ้าน ให้เราได้ถ่ายจากมุมล่างบ้าง มีเหตุการณ์ตื่นเต้น คือ มีคนทะเลาะกันอยู่บนถนน แล้วไกด์เชอร์บาร์ทของเราก็ลงไปช่วยห้าม กระชากไม้ออกมาจากอีกฝั่ง แต่สุดท้ายคนก็ตามไปคว้าอีก กว่าจะสงบก็ใช้เวลากันอยู่ ขึ้นมาบนรถ ทุกคนก็ปรบมือให้
แวะถ่ายรูปตรงช่วงที่ดินสไลด์ บล็อกทางน้ำจนจมหมู่บ้านให้อยู่ใต้น้ำไป จุดชมวิวทะเลสาบ Attabad จากนั้นล่องเรือชมบรรยากาศ น้ำสีสวยๆ ตัดกับภูเขา มีเรือให้เลือกหลากหลาย เราได้เรือแบบมีกันสาด มีเรือแบบเปิดหลังคาด้วย ก็จะเป็นแบบ Tradition หน่อย บางกลุ่มก็เลือกแบบนั้น
มุ่งสู่ หมู่บ้าน Gulmit ชมจุดชมวิว แวะไปถ่ายภาพสะพานแขวน Hussaini Suspension Bridge เดินไปสักระยะ ทางขี้นๆ ลงๆ สำคัญคือ ไปกลับทางเดิมจ้า มีแวบไปขอแอปเปิ้ลจากชาวบ้านเค้าด้วย ผู้ชายกำลังเก็บแอปเปิ้ล กบกับพี่พรเดินหลงๆ กันไป ไม่ได้ตั้งใจ แต่คนได้คือคนอื่นนะ สะพานแขวนนี้ ยังมีการใช้งานจริงอยู่บ้าง ระยะก้าว แบบพอดี 1 ก้าว เราก้าวไป เกาะสายสลิงไป ขณะที่บางคน เดินก้าวฉับๆๆๆๆๆ
ไปจุดเปลี่ยนรถ เป็นรถตู้อีก 1 คน ขึ้นไปแบบไม่ต้องมีสัมภาระ เพื่อไปสู่ทางเข้า Passu Glacier แวะทานข้าวที่โรงแรมระหว่างทาง ชมวิวทะเลสาบ Borith เจอคนไทยอีก 2 กลุ่ม ตลอดเส้นทางท่องเที่ยว ก็เจอเรื่อยๆ ทั้งไทย ทั้งมาเล
ทางเดินไม่ยาก มีทางชันบันไดยาวๆ อยู่ช่วงหนึ่ง จากนั้น ก็เป็นทางลาด กับหินสวยๆ ทรงแปลกตา ขนาบข้างด้วยแนวเทือกเขา จนเริ่มมองเห็นธารน้ำแข็งจากระยะไกลๆ ที่นี่เป็นธารน้ำแข็งสีขาวนะ เห็นว่า ละลายไปเยอะแล้ว จุดที่พาไปถ่ายรูป เคยมีธารน้ำแข็งยาวมาจนถึง ยังคงเดินไปได้อีกยาวๆ แต่เรามากันแค่รอบสั้นๆ ก็ใช้เวลาไปกลับกันร่วม 1.5 ชั่วโมงแล้ว เผลอๆกลุ่มเราใช้ไปร่วม 2 ชั่วโมง เรามีลงไปเดินต่ออีกหน่อย เจอซากนกตัวเบ้อเริ่มเลย พอถามไกด์ลุงเชอบาร์ดเราว่าไปแล้วยังไงต่อ เค้าบอกก็เป็นทางเดินแบบนี้ไปเรื่อยๆ ขนานกับธารน้ำแข็ง เดินแค่นี้ก็พอ โอเค รู้เรื่อง
นั่งรถตู้กลับไปเข้าห้องน้ำกันที่โรงแรมที่แวะทานข้าว แล้วไปเปลี่ยนรถกลับมาเป็นรถคันเดิมพร้อมสัมภาระ และขับมุ่งหน้าไปยัง Passu Village มีแวะชมสะพานสีรุ้ง และ แนวธารน้ำแข็งที่ละลายไปหมดแล้วด้วย Passu Village เป็นหมู่บ้านคนและสัตว์อาศัยกัน ร่วมด้วยกันต้นแอปเปิ้ล แอปริคอต ใบไม้เปลี่ยนสีเต็มๆ ในบริเวณนี้ เรามาถึง แสงก็เหลือน้อยละ ไกด์ต้องคอยบอกว่า ข้างหน้ายังมีจุดสวยๆ อีก เดินกันจนแสงหมดนั่นแหละ
ถึงโรงแรม ก็ต้องช่วยเหลือตัวเองเรื่องกระเป๋ากันหน่อย เพราะคนในหมู่บ้านเสียชีวิต พนักงานไปร่วมงานกันเกือบหมด เหนื่อยไกด์ลุงและไกด์เพชร และ เจ้าของโรงแรมหน่อย ถึงโรงแรมก็มืดแล้ว แต่ดูแล้วมั่นใจว่า พอมีแสงต้องสวยแน่ๆ แนวเทือกเขาลางๆ มีให้เห็น
พัก Passu Tourist Lodge Hotel ไม่มีฮีทเตอร์ พอมีน้ำร้อน ใส่เสื้อหนาวเพิ่มความอบอุ่นไปค่ะ คืนนั้นเจอกลุ่มคนไทยที่เพิ่งลงมาจากจุดที่เราจะไปพรุ่งนี้ ความว่า ที่ราบคุณจีราบหนาวมากกก น้องเค้าเจอ -7 กับลมที่แรงพอควร
วันที่ 6 19 ต.ค. 65 Passu Village – Khunjerab – Pakistan – China Border – Hunza
วิวรอบๆ โรงแรมสวยจริงๆ เดินไปถ่ายรูปเล่นกันหน้าโรงแรม กับแนวต้นไม้เปลี่ยนสีและเทือกเขา เป็นอีกวันที่นั่งรถกันยาวๆ นั่งไปร่วม 4 ชั่วโมงไปจุดชายแดนระหว่างปากีสถานกับจีน วิวระหว่างทางสวยงามมากกกก แนวเทือกเขามีหิมะคลุม ลมแรง ทุ่งหญ้า ให้มองให้ดีๆ อาจจะเจอสัตว์แปลก แต่เราเจอกันแต่แพะ จามรี
แวะทานข้าวร้านอาหารระหว่างทาง ก่อนจะเข้าตัวอุทยาน Khunjerab อากาศวันนี้สดใส ฟ้าใสมาก บริเวณชายแดน มีหิมะปกคลุมบางพื้นที่ พร้อมกับรถเทรลเลอร์จอดเรียงราย มี ATM ให้บริการด้วย แต่ไม่รู้ว่า ใช้ได้ไหม
นั่งรถไปยาวแค่ไหน มีแวะถ่ายรูปบ้างตามบ้านคน 555 ก็นั่งกลับมามากกว่านั้น คืนนี้เราไปพักแถว Hunza
พัก Serena Hotel Hunza โรงแรมน่ารัก ต้องเดินเข้าไปเพราะมีการทำถนน มีต้นไม้ปลูกเต็มสวน
วันที่ 7 20 ต.ค. 65 Altit Fort, Baltit Fort, Hopper Valley, Nagar Valley, Gilgit
ไปชมป้อมปราการ หรือ อดีตที่อยู่อาศํยของผู้ปกครองในเขตนี้ Altit Fort 1,100 ปี เดินไปจากที่พักได้เลย มีเจ้าหน้าที่รอให้คำบรรยายอยู่ ป้อมนี้เป็นที่อยู่อาศัยที่แรก ก่อนที่จะไปปลูกที่ Baltit Fort เพิ่มขึ้นมา มีเจ้าหน้าที่ให้คำบรรยายเช่นกัน ลักษณะโครงสร้าง คือป้อมดินผสมไม้ผสมหิน หลังคามีช่องเพื่อให้สามารถต้ม ทำครัวได้ และน่าจะสามารถปิดได้เมื่อยามเข้าหน้าหนาว ทางเข้าจะทำเตี้ยๆ เพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้กับห้อง
Baltit Fort อายุ 700 ปี ต้องเดินขึ้นเนินไปยาวๆ มีร้านขายของสองข้างทาง ด้านหลังป้อมเป็นหมู่บ้านเก่าแก่ คล้ายชุมชน วิวจากหน้าต่างไปยังภูเขา มีแม่น้ำ และ ต้นไม้เปลี่ยนสี ปัจจุบันป้อมเป็นของรัฐแล้ว ส่วนผู้ปกครองย้ายไปอยู่ตึกที่ปลูกใหม่
หลังจากได้ชมตัวเมือง เราก็มุ่งไปสู่ Hopper Valley – Nagar Valley เป็นหุบเขา ต้นไม้เปลี่ยนสี ฟ้าใส และเจอกับหิมะโปรยปรายด้วยระหว่างที่เราทานข้าวกลางวันกันอยู่ เดินไปจุดชมวิว เพื่อชมธารน้ำแข็งสีดำ ที่ยังคงมีชีวิต และ ยาวกว่า 8 กิโลเมตร มีจุดชมวิว 2 จุด เราเดินไปอีกจุดที่จะเห็นใกล้ขึ้นด้วย สวยดี สีดำทะมึนเลย แล้วก็มีป้ายบอกว่า ไปเขาต่างๆ ได้ มี K2 ด้วย จุดชมวิวธารน้ำแข็งจุดที่ 2 มีสมาชิกไปแค่ 5 คน เห็นใกล้ขึ้น สวยจริง ธารน้ำแข็งสีดำ
มุ่งสู่ Gilgit เข้าพัก Serena Hotel Gilgit โรงแรมใหญ่ สวนอังกฤษ วิวเมืองด้านล่าง
วันที่ 8 21 ต.ค. 65 Gilgit – Ghizer Valley – Khali Lake – Phandar Lake – Gupis
วันนี้เป็นอีกวันที่เดินทางกันยาวๆ มีแวะระหว่างทางบ้างเล็กน้อย ให้พอถ่ายรูปเล่น บางจุดว่าสวยนะ แต่กว่าจะจอด ไม่สวยละ บางจุด จอดทำไมนะ 555 มีที่นึง มีป้าย I love Ghizer อยู่ เราถ่ายกันแต่วิว ไม่สนป้าย จนไกด์ต้องเดินมาบอกว่า ถ่ายป้ายด้วยไหม อะจ๊ะ ถ่ายก็ได้ เดินทางกันมาจนถึง Gupis ในช่วงบ่ายๆ แล้ว ทานข้าวกลางวันที่ที่พัก แล้วลุยต่อไปชมทะเลสาบ และสะพานข้าม Khali Lake มีวิวสะท้อนเล็กๆ ให้เห็น จากนั้น นั่งรถยาวๆกว่า 2 ชั่วโมง เพื่อไปชม Phandar lake แต่กว่าจะออกจากทะเลสาบแรก ก็ร่วม 4 โมงแล้ว ช่วงนี้มืดเร็วด้วย ผลคือ เมื่อถึง แสงก็เกือบหมดแล้วจ้า บ่นกันใหญ่เลยว่าจะลุยมาทำไม ไม่สวย ไม่โดน แล้วต้องนั่งรถกลับไปอีกร่วม 2 ชั่วโมง คราวนี้ก็มืดๆ เลยหาเรื่องชวนคุยกัน ให้ไกด์เล่าประวัติตัวเองบ้าง เล่าเรื่องนู่นนี่กันเองบ้าง เรื่องผีๆ ต้องมา ก็กระชับมิตรกันไป
เรามีแนะด้วยว่า ถ้ารู้ว่า เดินทางไม่น่าจะทัน ก็ถามลูกทัวร์ได้นะ เผื่อจะหาทางออกร่วมกัน เข้าใจว่า ต้องการทำโปรแกรมให้ครบ แต่ แต่ แต่ ถ้าไปแต่ไม่เห็นอะไร ไม่ต้องไปก็ได้ แล้วให้เดินชิวๆ ที่ทะเลสาบแรกก็โอ แต่ก็เข้าใจแหละ ไปไม่ถึงก็อาจจะมีคำถามอยู่ดีว่า ที่ไม่ได้ไป เป็นอย่างไร จากบทเรียนนี้ โปรแกรมวันพรุ่งนี้ จึงถูกนำมาไถ่ถามกัน ว่าจะเที่ยว Yasin Valley ตามเวลาปกติไหม หรือ ต้องการจะเดินทางเข้าเมือง Gilgit เพื่อไป Shopping ถ้าจะไป ต้องออกแต่เช้า เพื่อเลี่ยงปัญหาถนนปิด บทสรุปคือ เที่ยวตามเดิม
พักที่ Blossaom InnHotel คืนนี้ก็หนาวอยู่นะ น้ำร้อนมี แต่ให้เวลาหน่อย มันเดินทางไกล
วันที่ 9 22 ต.ค. Yasin Valley – Gilgit
เดินทางกันยาวๆ แวะ Yasin Valley เป็นหมู่บ้านเล็กๆ จุดเด่นคือ แม่น้ำ พร้อมกับต้นไม้เปลี่ยนสี ที่นี่เราได้แวะเข้าห้องน้ำในบ้านของชาวบ้านเลย ลุยกันเข้าไปเลย เค้าให้ ตอนแรกไปขอที่โรงเรียน แต่โรงเรียนไม่อนุญาต ซึ่งเข้าใจได้เพราะเป็นใครก็ไม่รู้มาเข้าโรงเรียนได้อย่างไร ก็เลยได้เดินๆ ในหมู่บ้านไปในตัว แอบส่องเด็กทำกิจกรรมกันในวันหยุด ชาวบ้าน ตัดต้นไม้ นั่งตากแดดรับไออุ่น ขับรถแทรกเตอร์ผ่านไป ทางเดินริมน้ำ แสงก็สะท้อนกำลังสวยเลย ชอบที่ได้ลงมาเดินเล่นแบบนี้ จากนั้นกลับไปที่โรงแรมเดิมเพื่อทานข้าว กลางวัน วนเวียนทานข้าวกันอยู่ที่นี่ นี่แหละ
มุ่งตรงกลับ Gilgit แวะถ่ายภาพ ตัวเมือง และได้เจอกับเด็กๆ มาเล่นกันที่บ้านญาติ เด็กผู้หญิงหน้าตาดี พูดภาษาอังกฤษชัดมาก เป็นแฟนคลับ ลิซ่า Black Pink
พัก Serena Hotel Gigit โรงแรมนี้ สวนสวยนะ ตอนพักคืนแรก ไม่มีเวลามองดูอะไรเลย
วันที่ 10 23 ต.ค. Gilgit – Besham
มีข่าวกันแต่เช้าว่า 1 ในลูกทัวร์ติดโควิด ทุกคนน่ารักมาก ช่วยกันดูแล แจกจ่ายยา ขึ้นรถ ช่วงแรกก็ยังเปิดหน้าต่างนะ แต่ต่อมาก็ปิดและเปิดแอร์ละ ถนนฝุ่นเยอะเกิน ก็อยู่ด้วยกันไปค่ะ ทุกคนกลับมาใส่หน้ากากกันอีกครั้ง ซ้อมก่อนกลับไทย
นั่งรถกันยาวๆ ติดก่อสร้างถนน ติดประท้วงของกลุ่มแรงงาน คราวนี้ไกด์เราไม่ได้ลงไปเจรจาต้าอ่วย เค้าบอกว่า คุยกันไม่ได้ ต้องปล่อยให้เค้าเรียกร้องไป เรียกร้องจบ เดี๋ยวก็แยกย้ายกันเอง ก็ใช้เวลาไป 30++ นาที รถจอดอยู่ท่ามกลางคนชุมนุมนั่นแหละ
Besham Inn Hotel โรงแรมละแวกนี้ ก็ 3 ดาวทั้งนั้น อย่าคิดว่าเห็นชื่อดีๆ แล้วจะเป็นโรงแรมเชนนะ ไม่ใช่จ้า
วันที่ 11 24 ต.ค. Besham – Taxila – Islamabad – Faisal mosque – Bangkok
เดินทางกันยาวๆ อีกเช่นเคย นั่งรถกันมา 2 วันเต็ม มาทานข้าวกลางวันแถวเมือง ตักศิลา เมืองแห่งการศึกษาที่เราเคยร่ำเรียนในประวัติศาสตร์นั่นแหละ แวะชมพิพิธภัณฑ์ และ สถานที่สำคัญทางพุทธศาสนา (รึเปล่า) ว่ากันว่า เป็นที่ๆ เค้าว่า พระถังซัมจั๋งตัวจริง มาร่ำเรียน อาศัยอยู่ ณ ที่แห่งนี้ จากนั้นก็ไป Faisal Mosque ที่วันนี้เต็มไปด้วยผู้คนยิ่งกว่าปกติ เนื่องจากพรุ่งนี้จะมีคนมาชุมนุมประท้วง เลยมีการเตรียมตำรวจทหารมาพร้อม เดินทางกันมาจากที่ต่างๆ มากางผ้า ปูที่นอน นอนกันเต็มลานเลย
ปัจจุบัน Mosque ดูจะเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจมากกว่านะ คนมาเดินเล่นบนสนามหญ้า ครอบครัวมาปิคนิกกันก็มี
มื้อเย็นวันนี้ เข้าร้านอาหารจีน ไกด์ให้เราสั่งอาหารกันเอง สั่งเป็ด สั่งเนื้อกันมาเต็ม 555 จริงๆ สั่งเป็ดปักกีิ่งด้วย แต่เค้าไม่ได้ทำ ซึ่งก็โอเคแหละ เพราะตอนแรกเค้าบอกจานสำหรับ 2 คน แต่พอจานแรกมา ก็คือขนาดอาหารจีนปกตินี่นา ระหว่างรออาหารก็ให้เราไปเดินช็อปปิ้ง ใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ ใครใคร่นั่งพัก นั่งไป ใครใคร่ซื้อของก็เดินตามกันมา
มุ่งสู่สนามบิน เดินทางกลับด้วย TG 350 ตั้งใจจะมาแลกเงินที่สนามบินด้วย แต่ช่วงตรวจกระเป๋า ตรวจตั๋ว พยายามส่องๆ ก็มองไม่เห็น พอผ่าน Immigration เข้าไปเลยไปถาม Information เค้าบอก ข้างในไม่มีแล้วจ้า ก็ถือกลับมาไทย โชคดีที่ Super rich สีเขียวรับแลกหมดทุกแบงค์เลย ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ คงขาดอย่างหนัก เพราะขาไปจะแลก ไม่มีให้แลกเลย
เป็นอันจบทริปปากีสถาน ใบไม้เปลี่ยนสี กับ ทริปดีดี.คอม กับเพื่อนใหม่ๆ ที่ดูแลตัวเองกันได้ทุกคน ไกด์ไทยแทบไม่ต้องทำงาน 555 เราคุยตรงกับไกด์ท้องถิ่นได้สบาย ทิปไกด์+คนขับ 60 เหรียญ USD ไกด์ไทย ทัวร์แจ้งไว้ที่ 1,000 บาท ใครจะให้เพิ่มก็ตามสบาย
คนปากีสถานน่ารักกว่าที่คิด การเดินทางบนเส้นทางคาราโครัมยาวนานเกิ๊น ถ้าเป็นไปได้ เลือกช่วงที่มั่นใจว่าบินได้ บินตัดมา Gilgit หรือ อย่างน้อย Skardu ก็ยังดี ร่นมาได้หลายชั่วโมง
อาหาร ไม่ได้หลากหลายมาก แต่เชื่อว่า ถ้าขวนขวาย น่าจะได้ทานอาหารหลากหลายกว่านี้ พอดีมากับทัวร์ เลยไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้เท่าไหร่ แม้ระหว่างทาง จะพยายามเอ่ยลอยๆ ว่า กินพิซซ่าบ้างไหม กินอย่างอื่นบ้างไหมบ้างก็ตาม แต่จังหวะมันไม่ค่อยได้ เวลาไม่ค่อยลง ก็ต้องตามสภาพกันไป ยังดีมีอาหารเสริมจากทัวร์ แม้จะกินได้บ้าง ไม่ได้บ้างก็ตาม
ของฝาก สารพัดถั่ว ผลไม้แห้ง หนักๆ ทั้งนั้น
ขอบคุณภาพจากผู้ร่วมทริปทุกคนค่ะ ขออภัยที่ไม่ได้ให้เครดิตรายบุคคล
ปีนี้ก็ยังคงมาดำน้ำ ช่วงนี้ถือว่า ดำน้ำถี่ทีเดียว ปีละครั้ง ถือว่าบ่อยมาก ทุกที 3-5 ปีครั้ง อย่างว่า สถานการณ์โควิด ออกนอกประเทศไม่ได้ ก็มาดำน้ำแทนละกัน
27/04/65
เดินทางด้วยสายการบินไทยสไมล์ วันที่ 27/04/65 ถึงตัวเมืองภูเก็ต นั่งรถรับส่งสนามบินที่จองไว้ล่วงหน้า มีแวะทานข้าวที่ร้าน บ้านอาจ้อ แถวสนามบิน อาหารท้องถิ่น ทำร้านสวยงาม เป็นพิพิธภัณฑ์ด้วย ที่นี่เคยเป็นบ้านพักตากอากาศของตระกูลหงษ์หยก เราเดินชมบ้านกันอย่างยาวนานและชิวมาก จนเจ้าของบ้านต้องโผล่มาดูว่า ยังอยู่กันอีกเหรอ ค่าเข้านำไปสมทบทุนดูแลเด็กๆ ในมูลนิธิ
บ่ายๆ ก็มุ่งเข้าตัวเมืองไปเช็คอินที่ Xinlor house โรงแรมในตึกแถวเดิมในย่านใกล้เมืองเก่า ห้องพักค่อนข้างน่ารัก ตกแต่งด้วยต้นไม้ มีแต่บันได ห้องของเราคือห้องที่ดีที่สุด มีโซนห้องนอนกับห้องนั่งเล่น และ มีระเบียงที่มีอ่างจากุซี่ให้แช่เล่นด้วย มองออกไปเห็นผู้คนบ้านตรงข้ามได้ ก็ต้องสวมชุดว่ายน้ำแช่น้ำเล่น ใข้ให้คุ้ม ก็แช่ทั้งเย็น ทั้งกลางคืนจ้า
ยามเย็นก็ไปเดินเล่น เจอกับ ญาติที่นัดทานข้าวเย็นกันไว้ บ้านอยู่ตรงข้ามกันที่กทม มาภูเก็ต ก็ป๊ะกันโดยบังเอิญก่อนเวลานัดอีกจ้า เดินเล่นกันไปเรื่อยๆ ก่อนไปแวะทานไอติมที่ร้านฮิปๆ มีโอ้วเอ้วเป็นส่วนผสมด้วย แต่น่าจะไม่ได้สั่ง เรานั่งทานกับหลานๆ และ ลูกพี่ลูกน้องที่เป็นเจ้ามือจ่ายให้ กราบงามๆ ขณะที่สาวๆ เดินไปซื้อเสื้อผ้าที่ร้านที่พี่ๆ เค้าคุ้นเคยกัน ทานเสร็จเราก็ตามไปที่ร้าน ไปนั่งเล่นกับกระต่ายขนนุ่ม อยู่ที่ร้านนี้กันนานมาก
จนมีคนชวนไปเดินเล่นถ่ายรูป ก็ตามออกไปด้วย ไปถ่ายรูปตรงทางข้ามม้าลายแถวตึกสแตนดาร์ด ใกล้ๆ ก็มีธนาคารไทยพาณิชย์กำลังสร้างอยู๋ เป็นตึกทรงโบราณสีขาว คาดว่า จะเป็นอีก landmark ในอนาคต สมควรแก่เวลาก็เดินไปยังร้านอาหารวันจันทร์ที่จองไว้ ทานข้าวเย็นจบแยกย้ายกับครอบครัวญาติ เจ้าของร้านเสื้อผ้าที่คุ้นเคยของพี่ๆ พาเดินเล่นยามค่ำคืน และไปนั่งดื่มที่ร้านDibuk House บรรยากาศดี มีบริกรเพียบ ร้านอยู่ได้ใช่ไหม
28/04/65
วันนี้เดินเล่นกันแค่ 3 สาว ยามสายลงไปทานเยนตาโฟสามพี่น้องข้างโรงแรม อร่อยดี พี่ๆ ทานกัน 2 ชามเลย กินกันเก่ง แวบไปนั่งทานเครื่องดื่มที่ร้านคาเฟ่ฝั่งตรงข้าม ฝนกระหน่ำมา ก็นั่งชิวเรื่อยๆ รอฝนหยุด แต่เดี๋ยวไม่ได้เก็บของ ต้องเช็คเอาท์ สุดท้ายก็เลยต้องลุยฝนกลับโรงแรมไป ไม่เป็นไรแค่ข้ามถนน มีร่มมา 1 คัน
เช็คเอาท์พร้อมฝากกระเป๋าไว้ที่โรงแรม เดินเล่นไป เข้าร้านทานขนม ทานชา ในที่สุดก็ได้กินโอ้วเอ๋วแบบเต็มๆ จนไปแวะนวดเท้าเพื่อรอเวลาทานข้าวเย็นที่ร้าน La Gaetana (ลา เกตานา) ร้านนี้พี่ๆ จองแล้วอดกินไปแล้วรอบนึง คราวนี้กลับมาแก้มือ อร่อยค่า กุ้งตัวใหญ่มากกกก เจ้าของร้าน เป็นคู่สามีภรรยาที่เคยทำอาหารในโรงแรมมาก่อน ได้เวลารถมารับ พากลับไปรับกระเป๋าที่โรงแรม และพาไปส่งที่ท่าเรือ
ไปเจอกับผู้ร่วมทริปดำน้ำกับเรือดำน้ำ Live aboard ของพี่หมี เรือบุนนาค @mv.marinerbunnak บนเรือมีข้าวต้มให้ทาน แต่เราอิ่มกันมากกกกจากร้านอาหารแล้ว แถมยังมีผู้ร่วมทริปใจดี ซื้ออาหารร้านดังมาให้เพิ่มด้วย จำไม่ได้ละว่าคืออะไร
ขึ้นเรือปุ๊บ ก็ตรวจโควิดกันปั๊ป ทุกคนปลอดภัยจ้า บรีฟกันสั้นๆ ถึงการใช้ชีวิตบนเรือ ทริปนี้มี 4 กลุ่ม ลีดโดย พี่ปุ๊ย พี่แพน พี่ป้อง และ พี่เอื้อม นอนพักผ่อน พร้อมดำน้ำวันพรุ่งนี้
เรือดำน้ำขนาดย่อมเยาว์ ความจุ 20 นักดำน้ำทริป มีห้องคู่ ที่เก็บของใต้เตียง ห้องน้ำรวม อาหารอร่อย สไตล์ไทยๆ มีคนดูแลโซนเครื่องดื่มและอาหารเป็นหนุ่มใต้ตาหวาน มือชงเครื่องดื่มประจำเรือ เราก็เมาเรือตามปกติ เป็นอยู่วันแรก แต่ก็ลงดำน้ำตลอดยกเว้น night dive
29/04/65
ไดฟ์ 1 เกาะห้าใหญ่ อุทยานแห่งชาติลันตา ไดฟ์แรก ดำเบาๆ ทดสอบกันไปก่อน ปะการังมีให้มองเยอะอยู่
ไดฟ์ 2 เกาะห้าเหนือ มีถ้ำให้ลอด ไปมา และมีดงปะการังอ่อนสวยงาม ฟูมาก สวยมากอยู่ และมีปัญหาเรื่องการจราจรเข้าถ้ำ เพราะกลุ่มที่ลงก่อน ไม่ได้เข้าทันที เพิ่งมาเข้าตอนที่กลุ่มหลังๆ ตามกันลงมาแล้ว ไปรอกันหน้าทางเข้าเพียบ ทำให้พี่ปุ๊ย ลีดเดอร์เรามุดเข้าไปเพื่อจัดระเบียบจราจรในน้ำ ขึ้นมาก็เล่นงานกันอย่างสนุกสนาน เราเลยเข้ากัน 2 รอบ รอบแรกแบบเร็วๆ แล้วไปเข้ารอบสอง แบบวนแล้ววนอีก ปลายไดฟ์ที่เราขึ้นไปแล้ว ไดฟ์ลีดเราเจอฉลามวาฬด้วย (ไดฟ์นี้พี่กั้งพลาด ยังเมาเรือ นอนสลบอยู่)
ไดฟ์ 3 เกาะห้า (No.6)
ไม่ดำ Night Dive
30/04/65
ได์ฟ 4 หน้าน้ำตกอาดัง ออกแนวดำทราย มองหาตัวนู้นนี้ ก็มีให้เห็นอยู่ กลุ่มครูเอื้อมดำลงไปก่อน มีปักตะเกียบเพื่อชี้เป้าไว้ให้ด้วย ที่เห็นจะๆ คือ นูดี้ยักษ์(เอาไฟฉายมาวางเทียบกันเลย) ม้าน้ำ กุ้งตัวน้อยๆ ในปะการัง คนอื่นเจอกันอีกเยอะ แต่เราวนไปมา ไม่กล้าไปไหนไกล
ไดฟ์ 5 หินแปดไมล์ อุทยานแห่งชาติตะรุเตา น้ำแรงมากกกก เกาะทุ่นขึ้นและลงเท่านั้น ถ้าหลุด จงขึ้นผิวน้ำมาเลย เห็นปลาที่ว่ายน้ำต้านกระแสอยู่เคียงข้าง จำได้ว่า คือ Batfish
ไดฟ์ 6 ตาลัง (Stonehenge) ปะการังสวยมากกกกกกกกก ไม่เคยมาเลย ได้ไง มีกระแสน้ำพอประมาณ เค้าว่า เพราะมีกระแสน้ำนี่แหละ ปะการังอ่อนถึงสวย ฟู ขนาดนี้ พี่ปุ๊ยกับเอ็กซ์อยู่กันยาวววววววมาก จนทำให้ไม่สามารถไปดำ Sunset ที่อื่นได้ เพราะจะไปไม่ทัน แถบนี้ค่อนข้างเข้มงวด สั่งห้ามดำน้ำตอนกลางคืนอย่างเด็ดขาด
ไดฟ์ 7 ตาลัง Sunset Dive ไดฟ์นี้ เลยได้ลงซ้ำอีกครั้ง กระแสน้ำอ่อนลงแล้ว แต่ปะการังยังพอสวยอยู่ เจอม้าน้ำ นูดี้
01/05/65
ไดฟ์ 8 เกาะ 5 ใหญ่
ไดฟ์ 9 เกาะ 5 (no.6) มีคนเจอฉลามวาฬแบบใกล้ชิดมาก 2 ตัว แต่ไม่ใช่เรา ชมภาพไปนะ
ไดฟ์ 10 เกาะ 5 ไปรอฉลามวาฬ แต่ก็ไม่เจอ
02/05/65
ไดฟ์ 11 เกาะ 5 (no.6) ยังคงอยู่ที่นี่เพื่อเจอฉลามวาฬ สำรวจแนวปะการัง แนวผาหินนี้ก็จนถ้วนทั่วมาก แก๊งๆๆๆ เสียงเรียกเสียงสวรรค์มาแล้ว หันขวับทันที ฉลามวาฬว่ายเข้ามาอย่างสง่างาม ตัวเล็กนะวันนี้ หันไปหาพี่สาว ยังมองกำแพงอยู่เลย ต้องว่ายไปกระตุกฟิน ชี้เป้า ถึงจะรู้ตัว เนื่องจากเราไม่มีกล้อง จึงลอยดูอย่างสงบ คนเข้าไปรุมกันสุด มีอีกกลุ่มที่ลงมาไล่กับเราด้วยเช่นกัน เป็นภาพที่สับสนวุ่นวายอลวนกันแท้ ตอนแรกเรานึกว่า ทุกคนได้เจอ ปรากฏว่า ไม่ช่ายยยย กลุ่มพี่แทนไม่เจอวันนี้ แต่เจอไปเมื่อวานแล้ว ส่วนกลุ่มพี่ป้องยังคงไม่เจอต่อไป เห็นว่ามีพี่คนนึงในนั้นที่ดำมานาน แต่ยังไม่เคยเจอฉลามวาฬเลยยยย สักวันค่ะ พี่ สักวัน
ไดฟ์ 12 เกาะ5 (no.6) และก็ยังคงอยู่ที่นี่ เพื่อรอฉลามวาฬ แต่ไม่เจอ คราวนี้ ได้ใช้ SME อีกแล้ว ทริปนี้ ได้ใช้ของคนอื่นหลายครั้งอยู่ เพราะอากาศจะหมด ต้องขึ้นก่อน แต่ผู้นำกลุ่มเรากับอีกผู้ร่วมกลุ่มยังเหลืออีกเยอะ เลยอยู่กันต่อ แรกๆ ยังฝากขึ้น ตอนหลัง ยื่น SME ให้หมุนขึ้นเองแล้ว 555
ไดฟ์ 13 ปิดะนอก มาเพื่อฝูงปลาข้างเหลือง แต่น้ำแรงมาก ไปไม่ไหว ได้แต่มาดูแนวผาแทน
เครดิตภาพ ภาพบนบก พี่เข็ม พี่กั้ง ภาพใต้น้ำ เพื่อนร่วมทริปทุกท่าน
ทริปนี้มีการลงยันต์คาถา ด้วยครีมกันแดดแบบแท่ง แรกๆ ใช้ชื่อ เจต คนไม่มีดวง ซึ่งเราก็งงว่า ทำไมถึงใช้ชื่อคนไม่มีดวงล่ะ (มีที่มาจากทริปก่อนๆ ที่พอเจตขึ้นมาก่อนด้วยสักเหตุผลหนึ่ง หลังจากนั้น ทุกคนก็ได้เจอฉลามวาฬ 555) งงๆ ไม่แน่ใจว่า ยังไงถึงเปลี่ยน แต่แน่ๆ ชื่อที่เปลี่ยนคือ ปรจารย์แห่งการดำน้ำ พี่ปุ๊ย 555 ผลคือ เจอฉลามวาฬจ้า แม้จะไม่ได้เจอครบทุกคน แต่ส่วนใหญ่ก็เจอ จนแซวกันว่าต้องมีผลิตภัณฑ์ยันต์พี่ปุ้ยล่ะ พี่ปุ๊ยบอก พอๆ เดี๋ยวไม่ขลัง 555
เป้าหมายหลักในคราวนี้คือ การขึ้นเขาหลวงที่อ่านกี่รีวิว คุยกับคนที่เคยไป ก็บอกว่า มันยาก ท้าทายมาก ยากยิ่งกว่าภูกระดึง เพื่อนสาวอยากจะไปก่อนที่จะเข้าสู่กระบวนการตั้งครรภ์ เพื่อนสายผจญภัยด้วยได้จึง Say yes กันด้วยเงื่อนไขที่ว่า ต้องเป็นวันหยุดยาว มีวันหยุดยาวพิเศษขึ้นมาในปี 2563 19-20 พ.ย. ทุกอย่างจึงลงตัว
ขับรถ หรือ ไม่ขับรถไป เราถนอมทุกคน กลัวคนขับจะเพลียเกิน จึงตัดสินใจนั่งรถทัวร์จ้า ใช้บริการ วินทัวร์ ทั้งขาไปและขากลับ ขาไปได้รอบ 21.30 รถ ป.1 ราคา 338 บาท นั่งไม่สบายเลย เก้าอี้แปลกๆ จริงๆ มีอาหารให้บริการ จุดจอดเป็นพื้นที่เล็ก มีข้าวต้ม หรือ น้ำ เลือกเอา อยากได้ VIP แต่ส่วนใหญ่ต้องไปลงขนส่งสุโขทัย ส่วนขากลับ ได้รอบ 22.00 น. รถ VIP ราคา 395 บาท เก้าอี้ดี เบาะยกขาได้ เอนได้เต็มที่ มีที่เสียบไวไฟ ตั๋วอาหารมีมูลค่า 20 บาท แลกน้ำ หรือ ข้าวได้ เลือกเอาเช่นกัน ขากลับแวะที่ใหญ่ คนเยอะ ต้องมองจำรถดีๆ VIP มีแถบคาดเหลือง
18-19 พ.ย. 21.30 น. เดินทางออกจาก กทม ถึง ป้ายอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย ประมาณตี 5 พอเข้าตัวเมืองสุโขทัย จอดถี่มาก คนท้องถิ่งต้องชอบมากกก ถ้าเราจองที่พักและอยากลงใกล้ที่พัก ก็ให้สอบถามรถทัวร์เลยว่า ควรลงป้ายไหน
เช้าตรู่ลงจากรถได้ก็เดินหาแสงไฟก่อนเลย มีตลาดวัดตระพังทองอยู่ เริ่มตั้งแต่ตีสาม เดินวนดูของกิน เรานั่งกินกันตอนตีครึ่งได้ โจ๊ก และ กาแฟโบราณ สำหรับเราก็ต้องเป็นโอวัลตินร้าน มานั่งตามคำชักขวนของคนขายดอกไม้ โต๊ะถูกประกบด้วยคนขายดอกไม้ 2 เจ้า เลยแบ่งๆ กันอุดหนุน
ทั้งนักท่องเที่ยง ทั้งนักเรียนมาทัศนศึกษา มาร่วมกันทำบุญตักบาตรกันเต็มทั้งสองสะพาน ท่ามกลางบรรยากาศยามเช้า แสงอาทิตย์เริ่มเรืืองรอง ลมเย็นๆ ทำบุญกันแล้ว 7 โมงกว่าๆ ก็เดินไปที่พักกัน เลอชาร์ม สุโขทัย รีสอร์ท เราเคยมาพักที่นี่กับครอบครัวแล้วครั้งนึง ตอนจองก็ยังไม่ค่อยรู้ตัว
เช่าจักรยานจากที่พัก วันละ 90 บาท ใช้ได้ทั้งวัน มุ่งหน้าไปอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย ค่าเข้าคนละ 30 บาท ค่าจักรยานอีกคันละ 10 บาท รับแผนที่ แล้วก็ปั่นไปรอบๆ วนซ้ายจ้า เก็บให้ครบ มีน้องๆ นักศึกษามาทำกิจกรรมกันด้วย ปั่นกันเพลินๆ มีร่มบ้าง ร้อนบ้าง บ้างบ่อน้ำแล้ง บางบ่อมีน้ำ
กลางวันแวะทานก๋วยเตี๋ยวสุโขทัยพ่อกู อยู่เลยทางเข้าไปนิดเดียว ใช้คนละครึ่งด้วย แล้วแวะทานขนมเครื่องดื่มในร้านคาเฟ่เย็นๆ ข้าง ร้าน Say Hi นั่งพักกันยาวถึงบ่ายสองกว่าเลย และร่วมด้วยช่วยกันช่วยเหลือนักท่องเที่ยวหญิงชาวอเมริกันที่อาศัยอยู่ในเชียงใหม่ เธอทำโทรศัพท์หาย พยายามขี่มอเตอร์ไซต์หาก็แล้ว เดินหาก็แล้ว แล้วก็เดินกลับมาที่ร้านเพราะคิดว่าอาจจะลืมไว้ เราก็ช่วยกันโทรหาให้ แล้วให้ลองไปเดินหาดูอีกที เผื่อมีเสียงจะช่วยได้ เพื่อนโทรไปน่าจะเกือบร้อยสายได้ เค้ากล้บมาอีกครั้งก็ยังไม่เจอ ก็ช่วยกันคิดว่าจะหายังไงกันต่อ คือ มีภาพพ่อของเค้าที่เพิ่งเสียชีวิตจากกรณีโควิด 19 ไป เค้าเลยอยากหาให้เจอ เราทานกันเสร็จแล้ว ก็เลยบอกว่าจะออกไปช่วยหา ปรากฏเพื่อนเดินไปตรงที่เค้าจอดมอเตอร์ไซต์ เห็นอยู่ที่มอเตอร์ไซต์เลย 555 เอาน่า ก็หาเจอละ แยกย้ายได้
มุ่งไป วัดศรีชุม วัดเด่นอีกหนึ่งวัดของสุโขทัย ซื้อหมวกมาไว้ใช้ด้วย ก็ลืมเอามา ปั่นกลับเข้าตัวเมือง แวะวัดช้างล้อม ยามเเย็น ทางแอบลึกลับ แวบดูภาษาไทยรีสอร์ทที่จะพักหลังจากกลับมาจากปีนเขา วันนี้มื้อเย็นทานอาหารร้านหน้าปากซอยที่พัก ใช้สิทธิเราเที่ยวด้วยกัน ได้มา 1800 บาท เค้าให้เป็นราคาวันธรรมดา แต่จริงๆ เพิ่งกำหนดให้เป็นวันหยุด
นอนกันให้สบาย ในห้องพักกว้างใหญ่ แอร์เย็น ห้องน้ำกว้าง
เลอร์ชาร์ม สุโขทัย ฮิสเธอรีคัล รีสอร์ท จองห้อง Deluxe Villa ใช้สิทธิเราเที่ยวด้วยกัน 2 ห้อง ห้องละ 2 คน 1 คืน รวมอาหารเช้า จ่ายไปคนละ 750 บาท
20 พ.ย.
วันขึ้นเขาจ้า ทานข้าวเช้าที่โรงแรม พร้อมออกเดินทางเวลา 6.30 น. เพื่อให้ถึงอุทยานแห่งชาติรามคำแหง ประมาณ 7 โมง หวังว่าจะได้ทั้งลูกหาบ เต็นท์ อุปกรณ์อื่นๆ ที่ต้องการให้ครบ เราไปถึงต้องลงทะเบียนโควิด-19 และยืนยันการจองผ่านแอพ QueQ 140 คน (เราเป็นหนึ่งในนั้น จองล่วงหน้าได้ 15 วัน) หรือ รายงานการ Walk-in 60 คน จองมาก่อนก็ดีนะ เจ้าหน้าที่จะได้รู้ว่า มีคนประมาณกี่คน จะได้แจ้งชาวลูกหาบไว้ให้มาช่วยกันทำงาน แต่ถ้าลูกหาบหมดก็คือหมด ข่าวว่า วันที่เราขึ้นสุดท้ายก็มีลูกหาบหมด เราได้คิวที่ 16 แจ้งรับเต็นท์ 3 คน (225 บาท) 2 เต็นท์ ผ้าห่ม เสื่อ 2 อย่างนี้ทดแทนเบาะรองนอนเพราะของหมดแล้ว
วันนี้วันเกิดพี่สาว ต้องรีบส่งข้อความไปอวยพรก่อนจะไร้สัณญานโทรศัพท์ อิอิ ไม่ลืมนะคะ
จากนั้น ก็ถือคิวมารอชั่งน้ำหนัก และ พบกับลูกหาบ เราได้หนุ่มวัยรุ่น ผมฟู น้องเค้าบอก มีผมแบบผมอยู่คนเดียว ไม่มีวันจำผิดได้ วัดน้ำหนักจากตาชั่งด้านล่างได้ 34 กิโล แต่ พอไปชั่งข้างบนกลายเป็น 30 กิโล มันหายไปไหน กิโลละ 25 บาท รับของจ่ายตังค์เลยนะ และ จำไว้ว่า ใครแบกของเราขึ้นมา คนนั้นจะเป็นคนแบกลงค่ะ
ไหว้พระ ไหว้แม่ย่า ด้านล่างก่อนทางขึ้น เจ้าหน้าทีมาแนะนำสถานที่คร่าวๆ ย้ำเล่าเรื่องพระเทพเสด็จมาเยือนที่นี่ ปี 2537 ท่านเสด็จถึง ใช้เวลาขึ้น 3 ชั่วโมง แนะนำว่า มีไม้เท้าให้หยิบยืม ให้ถือติดไปด้วย จิบน้ำเรื่อย เหนื่อยก็พักแต่อย่าพักนาน
ไปค่ะ ระยะ 3.7 กิโลเมตร มีจุดพักตามแผนที่ทั้งหมด 8 จุด ทางนั้นชัน ชัน และ ชัน ทางเนินมีอยู่นิดนึง นองนั้น ทางหิน ทางดิน ทางหินปนดิน ทางร่องดิน ทางร่องหิน ความชันตั้งแต่ 45 – 90 องศา การขึ้นนั้น เราจะตั้งเป้ากันแค่ที่ระยะถัดไป จุดถัดไปอีกกี่เมตรนะ เอาแค่นั้นพอ คราวนี้ระหว่างทางขึ้น เราแทบไม่ได้นั่งเลย ยืนพักตลอด และ ยืดขาไปด้วย ทางช่างโหดร้าย คนเดินลงก็คอยให้กำลังใจพร้อมคำพูดที่ว่า มันเป็นแบบนี้ตลอดแหละครับ อีกนิดก็ถึงจุดพักแล้ว อีกนิดในแต่ละรอบ มันช่างยาวไกล
เตรียมน้ำให้เพียงพอ ลูกอมเติมน้ำตาล ได้ซีวิตมะนาวและส้มจากเม มาเป็นตัวเสริม ได้มา 2 ถุง เลยแบ่งให้ลูกหาบไปถุงนึง เพราะคิดว่า คงกินไม่หมด ซึ่งก็จริง แต่เมจัดขาขึ้น 2 ถุงเลย
ขึ้นมาเวลา 8.15 น. เดินถึงค่ายพักแรม 11.50 น. จุดวัดใจจุดสุดท้ายก่อนถึงที่พักนี่ ทำท้อใจ ทำเอาหลายคนเป็นตะคริวกันเลยทีเดียว
ถึงแล้วก็ไปรายงานตัวเพื่อรับอุปกรณ์ต่างๆ และทำการวางของเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของเต็นท์ เราสามารถเลื่อนเต็นท์ได้ตามต้องการนะ อย่าลืมตอกสมอใหม่ด้วย
ทุกคนพกอาหารกลางวันติดตัวเพราะคิดว่า น่าจะได้ทานระหว่างทาน ปรากฏว่าทำเวลาได้ดีกว่าที่คิด 3.35 ชั่วโมง เลยได้มานอนเอ้เต้ ทานข้าวบนที่พักแทน พักผ่อนกันตามอัธยาศัย ไปล้างหน้าล้างตาด้วยน้ำจากน้ำลำธารเย็นชื่นใจ ตุ๋ยติดผ้าเช็ดหน้ามาเลยเข้าไปล้างตัวสบายๆ พี่ธงก็เอามั่ง คุยกับน้องที่นั่งพักอยู่แถวนั้น รอเพื่อนที่ยังมาไม่ถึง เห็นว่าเป็นปกติที่ต้องรอประมาณ 3-4 ชั่วโมง เป็นทีมเดียวกันที่เวลาแตกต่างกันมาจริงๆ น้องไม่ได้เป็นคนติดใบลงทะเบียนของไว้ แต่เราแนะให้ลองไปคุยดู จะได้จองเต็นท์ไว้ก่อน เพราะคนขึ้นมาเรื่อยๆ เดี๋ยวจะได้ที่ไกลๆ และอาจจะไม่ติดกัน คุยกันไปมาเลยชวนไปเดินรอบบ่ายแก่ๆด้วยกันเลย
บ่าย 3 ได้เวลา ตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ ไปเดินรอบใหญ่จ้า เขาหลวงประกอบด้วยยอดเขาหลายๆ ยอดเขารวมตัวกัน ทำให้เวลาเดินนั้นจะไม่ได้ราบเรียบแบบภูกระดึง เราจะต้งองเดินขึ้นๆลงๆอีกเช่นเคยยยยยย ไปค่ะ พระเจดีย์ ภูกา แม่ย่า เจ้าหน้าาที่พี่จิ้มแนะนำไว้ว่า ถ้าถึงภูกา แล้วกะเวลาว่าไปแม่ย่าไม่ทัน แนะให้ดูพระอาทิตย์ตกที่ภูกาเลย เราก็เลยคิดกันไว้ว่าจะทำแบบนั้น แต่ๆๆ พอเห็นทางแล้ว รีบพุ่งไปแม่ย่าจะดีกว่า เดินกลับจากภูกาตอนกลางคืนจะอันตรายเกินไป ทางเดินแคบมากกกก อีกอย่าง ถ้ากลับจากภูกาต้องกลับทางเดิน แต่กลับจากแม่ย่าจะเป็นทางใหม่และเป็นทางเดินลง หุุุๆๆ
ระหว่างทางไปภูกา เจอน้องผู้ชายเสื้อส้มมาต่อท้ายแถว เราก็เลยต้องหันกลับไปมองใหม่แล้วถามว่า พี่ธงหาย 555 น้องรีบบอกว่า อยู่ด้านหลังครับ เราก็เลยให้น้องเค้าแซงขึ้นไป สปีดดีมาก และเจอกันอีกครั้งที่แม่ย่า น้องจะนั่งรอทางช้างเผือกแล้วค่อยเดินกลับ
เค้าว่ากันว่า เส้นทางภูกาจะมีทุ่งหญ้าคล้ายสันเขาช้างเผือก แต่จากภาพเราว่ายังไม่ใช่ขนาดนั้น มันยังดูกว้าง และหญ้าขึ้นสูง เลยไม่เสียวเท่าไหร่ น้องจูนเดินเร็วพอๆ กับเมเลย เส้นทางรอบใหญ่ ขาลงเราสบายมาก แต่พอเห็นทางขึ้น เราหลบขอไปเดินแนวหลังเลย เพราะจะช้ามากกกกกก
ไปถึงแม่ย่า ให้จูนลองมองหาเพื่อน แต่ไม่เจอ น้องเค้าอยู่ 2 คืน ยังมีเวลา นั่งชมพระอาทิตย์ตก แสงสวยๆ สาดเข้าทุ่งหญ้าเป็นสีทอง เมฆก็ดูแปลกตา เห็นเป็นแสงๆ พระอาทิตย์ดูดวงเล็กมากกกก จบการโชว์ตัวก็รีบเดินกลับกันก่อนจะมืด ผ่านลานจอดฮอลิคอปเตอร์ ได้ใช้ไฟฉายคาดหัวที่เจ้าหน้าที่พี่จิ้มให้ยืมมาด้วย ขอบพระคุณมากค่ะ
ช่วงค่ำก็จะวุ่นวายหน่อย มีทั้งคนจะสั่งข้าว ขอน้ำร้อน ซึ่งให้ฟรี แต่คิวจะยาวมาก ตอนแรกเราว่าจะเช่าเตาเอามาต้มเอง แต่ตอนกลางวันเค้าบอกว่า เตาเสีย พอตกค่ำถึงจะแจ้งว่ามี ก็เลยได้ทั้งน้ำร้อนที่ต้มแล้วแต่ยังไม่เดือดไปต้มต่อเองที่ลานกินข้าวตอนกลางวัน และจะได้ต้มตอนเช้าได้โดยไม่ต้องรอเจ้าที่ด้วย เจ้าหน้าที่เปิดให้บริการอีกครั้ง 7.30 น. ส่วนน้ำก็ไปเปิดก๊อกมาต้มได้เลย
มื้อนี้เราสั่งข้าวไข่เจียว 2 จาน อาหารกันตาย และ อาหารของลูกหาบ และต้มมาม่ากัน รสไข่เค็ม เออ แปลกดี กินอิ่มก็เดินเล่น ยืนชมดาว และยืดเหยียด เมได้คนช่วยการถ่ายภาพดาวด้วยมือถือด้วย ถือเป็นทริปทดลองการใช้มือถือเครื่องใหม่ของเมเลย
21 พ.ย. 63
ได้รับข้อมูลว่า พระอาทิตย์ขึ้นตอน 6.27 น. ให้ออกไปตอนตีห้าครึ่งก็ทัน เรากับเมตัดสินใจไปกัน ออกมาเรียกอีก 2 คน บอกอย่างหนักแน่นว่าไม่ไปจ้า เปิดผ้าใบนอนชมวิวกันอยู่ เอาจริงๆ นะ ก็เกือบจะมุมเดียวกัน เห็นพระอาทิตย์ขึ้นเหมือนกัน เพียงแต่ไม่มีก้อนหินก้อนนั้นกับต้นสน
เดินกันไป 2 คน มีคนเดินตามหลังเราไปด้วย ก็เลยสบายๆ ขึ้นไปถึงพร้อมๆ กับแสงที่ค่อยๆ สว่างขึ้น มีเมฆและหมอกจางๆ เหมือนกับเวลาที่มองมายังเขาหลวง ก็บังดวงอาทิตย์ทำให้ไม่เห็นเป็นดวง เห็นแต่แสงๆ เท่านั้น รออยู่พักใหญ่จนฟ้าสว่าง ก็กลับกันลงมา มาถ่ายต่อที่หน้าที่พัก แก้มือกับภาพผู้พิชิตเขาหลวง ก่อนที่แดดจะจัดแล้วเป็นเงา จุดนี้ควรถ่ายตอนบ่ายนะ
ต้มน้ำ คนดื่มกาแฟก็ดื่มไป ทำมาม่า กินกับหมูฝอยกันจ้า อื่มมากกก ยังมีผลไม้เหลือกันอยู่เลย ทั้งกล้วย ทั้งส้ม เก็บข้าวเก็บของพร้อมเตรียมของให้ลูกหาบ เพราะน้องบอกไว้ว่า จะขอลงก่อนแต่เช้า จะไปช่วยงานที่บ้าน แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ไปเช้า เพราะยังตามหาเจ้าของกระเป๋าที่ติดมากับทีมเราไม่เจอ เลยต้องรอๆ ชั่งก่อนลงได้ 26 กิโล ชั่งด้านล่าง 25 กิโล และเก็บขยะรวบใส่ถุงไปชั่งน้ำหนักขยะพร้อมเขียนในใบเล็กๆ นำไปคืนข้างล่าง พร้อมชั่งน้ำหนักขยะอีกรอบเพื่อรับเงินมัดจำขยะคืน
ขาลง เข้าห้องน้ำกันให้เรียบร้อย เริ่มเวลา 8.30 น. ลง ลง ลง ลง ลง ลง ลง อย่างเดียวเท่านั้น มีคนเดินสวนขึ้นมาพอสมควรเลย เรานึกว่า วันนี้คนจะน้อยแล้วซะอีก ลุงลูกหาบบอกว่า เนี่ยตอนขึ้นมาเหลือลูกหาบอยู่ 8 คน ไม่รู้จะพอกันรึเปล่า เดินไปล่างๆ เจอลูกหาบมากกว่าคนที่ 8 ลุงบอก นี่รอบ 2 เมื่อเช้าลงเร็ว กิจกรรมยามลงคือ ทักกับลูกหาบ และให้กำลังใจคนเดินขึ้น พร้อมก้าวอย่างระวังในการเดินลง ขนาดไม่เปียก ยังลื่น กล้องแทบไม่ได้ถ่ายเลย
ถึงข้างล่างเวลา 11.10 น. ใช้เวลา 2.40 ชั่วโมงจ้า นั่งพักตรงร้านอาหารอุทยาน ทานข้าว ทานน้ำอัดลมกันให้ชื่นใจ ขณะสั่งอาหารข้าวราดแกง เจ้าหน้าที่บอกว่า ถ้าเสร็จเร็ว ไปส่งให้เร็วได้นะ เราก็งงๆ กัน เงยหน้าขึ้นมอง หน้าคุ้นๆ อ้อ คนที่มาส่งเรานีี่เอง สรุปแล้ว ก็เป็นรายได้เสริมของเจ้าหน้าที่กันนั่นเอง 555 เจอลุงเจ้าหน้าที่ที่บอกจะหาน้ำผึ้งให้ด้วย ลุงบอก ลุงก็รับส่งนะ ค้าาาาาาาา คุ้นหน้าลุงอยู่ เหมือนเห็นจากรีวิวว่า พาไปส่ง แล้วมีพาแวะวัดศรีชุมให้ด้วย น่ารักจริงๆ แต่เรานัดไว้ก่อนแล้วไง จะไปยกเลิกก็คงไม่เหมาะ
ไปล้างหน้าล้างตาล้างตัวกันอีกสักรอบ นั่งรถกลับเข้าตัวเมืองเก่าตอนบ่าย แวะรับน้ำผึ้งแท้ตามเขาว่าขวดละ 800 บาท มุ่งสู่ที่พักชั่วคราวไม่ค้างคืน ภาษาไทย รีสอร์ท คืนละ 400 บาท มีไว้เพื่ออาบน้ำตอนขากลับ และนอนเล่น รบกวนให้พี่เจ้าหน้าที่ เปลี่ยนตัวมาเป็นแฟนเค้าพาไปส่งร้านกาแฟ รับแอร์เย็น เติมน้ำตาลกัน เดินดูร้านนวด เข้าไปนวดกันจ้า ว่าจะ 1 ชั่วโมง คุยไปคุยมากลายเป็น 2 ชั่วโมง ชั่วโมงละ 200 บาท ส่วนเมกลับไปรอที่ห้องพัก นอนรอสบายๆ เช่นกัน ดีนะเช่าห้องไว้
นวดแผนไทย ก็จะเจ็บๆ กันนิดนึง แต่วันนี้เพิ่งลงยังปวดมาก อีกวันสิ ของจริงมาแน่นอน แต่หลังนวดก็ตัวเบาอยู่ ถ้าได้แช่น้ำร้อนจะยิ่งดีเข้าไปใหญ่ ฝันเฟื่องมากขอรับ
อาบน้ำอาบท่า ออกไปทานเข้าวเย็นที่ร้านอาหารของรีสอร์ทเลย ได้ลดราคา 10% อาหารอร่อยกว่าที่คิด
20.50 รถมอเตอร์ไซต์ข้างที่รีสอร์ทนัดไว้ให้ก็มารับ เป็นมอเตอร์ไซต์พ่วงข้าง มีที่นั่งเป็นตัวยู วางของ วางคนได้พอดีเชียว นั่งรับลมกันไป ไปนั่งรอรถที่ขนส่งสุโขทัย ผ่านร้านก๋วยเตี๋ยวสุโขทัยยอดฮิต ตาปุ้ย และ เจ๊แฮ หลับสบายไปตลอดทาง เพราะขากลับ ได้รถวีไอพี เก้าอี้ตัวใหญ่ เอนได้เต็มที่ มีที่ชาร์จโทรศัพท์ ถึงกรุงเทพตอน 4.30 น.
เหมารถ รับส่ง จาก ตัวเมืองสุโชทัย ไป เขาหลวง ติดต่อ ยงยุทธ์ 0648783015
อีกครั้ง กับ Cebu Omesna Peak, Canyoneering at Montaneza Falls, Aguinid Fall and Whale Shark Watching 20-23 OCT 2018OCT 2018
Posted October 27, 2018
on:กลับมาอีกครั้ง กับ Cebu อ่านว่า ซีบู ประเทศฟิลิปินส์ จากครั้งก่อนที่เราพลาดไม่ได้ไป Kawasan Fall เพราะเจอะพาุยฝนถล่ม แล้วครั้งนี้ล่ะ
เนื่องจากมาซ้ำ เราจึงพยายามหากิจกรรมที่ไม่เหมือนกันครั้งก่อน แต่คราวนี้มีสมาชิกใหม่มาร่วมด้วย ก็ยังต้องซ้ำกันเป็นส่วนใหญ่ ชาย 2 หญิง 6
แผนคราวนี้ 20 – 23 ต.ค. 2018 ปลายหน้าฝนเลยจ้า เรามากัน 4 วัน กับ การบินตรง BKK – Cebu สายการบินฟิลิปินส์ แอร์ไลน์ จากครั้งที่แล้วที่ลั่นวาจากันไว้ว่า ไม่มีบินตรงจะยังไม่มา เพราะเข็ดกับการดีเลย์ จนต้องข้ามวันกลับ และยังได้ราคาโปรโมชั่น 6970 บาท ก็จัดกันด้วยความรวดเร็ว
Day 1 Transfer from City airport to Moalboal via Osmena peak
เดินทางกันมาทั้งคืน มาถึงซีบูตอนเช้า แวะรับซิมฟรี แต่ละสายการบินของฟิลิปินส์จะมีแจกซิม ฟิลิปินส์ แอร์ไลน์แจก Globe ส่วน Cebu Pacific แจก Smart เราบินฟิลิปินส์ แต่เราไปซื้อค่าย Smart เพื่อสร้างความแตกต่างจากเพื่อนในทริป ให้มีความหลากหลายของคลื่นโทรศัพท์ เสียไป 300 เปโซ + top up ค่าโทร 200 เปโซ เผื่อต้องใช้โทรคุยกับเอเจนท์ คนขับ หรือ โรงแรม
แวะทานอาหารเช้ากันที่ร้าน Jullibee ร้านอาหารไก่ทอดท้องถิ่นของฟิลิปินส์ รสชาดธรรมดา เราว่า ร้านสีเขียวอร่อยกว่า ที่เป็นร้านไก่ย่าง ได้กินตอนมื้อสุดท้ายก่อนขึ้นเครื่องกลับ จากนั้นแวะไปรับพี่ร่วมทริปที่โรงแรม เค้ามาล่วงหน้า มาเที่ยวเมืองก่อนหน้า ออกเดินทางจากตัวเมือง ร่วม 9 โมงเช้า มีแวะซื้อน้ำตุนไว้ในรถด้วย
แนะนำ ทักทายเพื่อนร่วมทริปให้รู้จักกันให้ครบถ้วน คราวนี้มากันหลายทาง พี่น้องก็บ้านเรา เพื่อนเรา เพื่อนของเพื่อน ก็ทักทายกัน แวะทานข้าวริมทาง อาหารพื้นบ้านง่ายๆ 736 เปโซจ้ามื้อนี้ มุ่งสู่จุดหมายวันนี้คือ Omesna Peak อ่านเจอใน Pantip เป็นจุดแวะใหม่ที่ครั้งก่อนเราไม่ได้แวะ มีแบบเดินเทรคยาวๆ พาอ้อมไปมาด้วย แต่เราเริ่มที่จุดหลักเลย แม้จะเดินกันตอนเที่ยง แต่ว่าอากาศดีมาก เพราะมีเมฆบังในบริเวณนี้ ติดจะเย็นๆ ด้วยซ้ำ มีเมฆหมอกพัดผ่านมาเป็นระยะๆ ทางขึ้นรองเท้าให้รัดหน่อยจะดี มีไม้ให้เช่าเพื่อช่วยพยุง ใช้ไหม ใช้ก็ได้ ช่วยยันตอนขาลงได้ดี แต่เราไม่ได้ใช้นะ ค่อยๆ เดินไปเรื่อยๆ ก็โออยู่
ทางเดินสวย มีแนวหิน แนวเขา วิวเมืองเล็กๆ พอถึงยอด เป็นวิวอ่าว วิวทะเลอีกฟาก โดยมีหินแหลมคมเป็นยอดๆ ให้พาตัวไปยืนถ่ายรูป แอ็คท่ากันมันส์ อยู่กันนานเลย ถ่ายรูปกันเพลิน มีไกด์ท้องถิ่นผู้หญิง คอยพยายามช่วยเราถ่ายรูปอยู่ด้วย แต่ดูยังไม่ค่อยเชี่ยวชาญหามุมเท่าไหร่ ส่วนคนถ่ายก็ต้องหามุม พยายามพยุงตัวเองให้รอดนะ อุบัติเหตุเกิดได้ง่ายมาก สำหรับที่สวยเกินคาด เพราะไม่ได้คาดหวัง เสียดายแทนพี่ๆ 2 คนที่ไม่มา ปกติพี่ผู้หญิงเราลุยไหนลุยนั่น คราวนี้มีพี่ผู้ชายมาเป็นผู้นำโยเยเลยนอนรออยู่ที่รถ เสียดายแทนจริงๆ
ใช้เวลากันเต็มที่กับที่นี่ ให้ทิปไกด์ไป 200 เปโซ นั่งรถกันต่อไปถึง Moalboal 17.30 น.
เข้าพัก โรงแรม D’Keco Hotel จองผ่าน Booking.com มีตัดบางส่วนผ่านบัตร และจ่ายสดบางส่วน
แวบไปจัดการค่าทัวร์ที่เหลือ และนัดหมายเวลาสำหรับกิจกรรมวันพรุ่งนี้ที่ Planet Action Tour เค้ามีที่พักด้วย จริงๆ พักกับที่พักเค้าเลยก็สวยดีนะ
มื้อเย็น ออกไปทานอาหารริมทะเล แบบไม่เห็นวิวเพราะฟ้ามืดแล้วที่ร้าน Lantaw Restaurant 1460 เปโซ
คืนนี้ สมาชิกห้องเรา คือ มิ้น อ้อม และตัวเอง นอนกันไวมาก สี่ทุ่มก็ปิดไฟนอนกันแล้วจ้า
Day 2 Canyoneering at Montaneza Fall, Hotspring & Snorkelling in Moalboal
เช้านี้ตื่นกันไวมากเพราะดูเวลาผิด เวลาที่ฟิลิปินส์เร็วกว่าเวลาไทย 1 ชั่วโมงนะ 7 โมงก็เดินออกไปหาข้าวเช้าทานที่ร้านตรงข้ามกับทัวร์ จริงๆ นัดหมายไว้ 8 โมงเช้า แต่ว่า อาหารช้า เลยขอเลทนิดนึง แต่เจ้าหน้าที่เค้าก็เลทนิดๆ เหมือนกัน พร้อมออกเดินทางเวา 8.30 น. กับรถเลียนแบบรถขนทหาร อย่างเท่เลยจ้า นั่งรับลมกันไปร่วมชั่วโมงก็ถึงจุดฝึกซ้อมวิธีการใช้เชือก ให้หัดกันคนละรอบสองรอบ ผ่อนเชือก เดินตัวขนานกับพื้น พอบอกให้ Jump ก็ปล่อยมือ แล้วกระโดดลงมาเลย ขาควรจะต้องขนานกับผา 45 องศา
ระยะทางร่วม 3 กิโล กับเวลา 3 ชั่วโมงกว่าๆ โรยตัว 4 น้ำตก กระโดด 3 น้ำตกจ้า พร้อมก็ลุยกันเลย เดินลุยตัดสวน ตัดป่าเข้ากันก่อน พร้อมหมวกกันน๊อก และ เสื้อชูชีพ ชอบเหลือเกิน เดินป่า ใส่เสื้อชูชีพเนี่ยะ ถึงน้ำตกแรก ทุกคนก็ชะงักกึก มันสูงมากกกกกก น้ำตกตัดตรง เจ้าหน้าที่ 3 คน จัดการเตรียมอุปกรณ์ มีผู้นำ 1 คน ลูกมืออีก 2 คน เห็นว่า ก็ญาติๆ กันทั้งหมด พร้อมแล้วก็อธิบาย และสาธิตวิธีการลง จุดที่ควรต้องอยู่ หลบหลีกไม่ไต่โดนน้ำตก เอียงตัวหลบบ้างในบางจุด เริ่มแรกก็ท้าทายแล้ว ใครเป็นคนแรกล่ะ ถ้าไม่ใช่เรา เหอ เหอ พร้อมลุย คนที่เหลือก็ทยอยกันลงมา ผ่านกันได้ด้วยความเรียบร้อย
น้ำตกที่ 1 ท้าทายมากจ้า สูงใช่ย่อยๆ เลย ยังดี ที่ลงตรงๆ เป็นส่วนใหญ่ ระยะทางไม่ใช่สั้นๆ เลยสำหรับการลงครั้งแรก มีจุดที่ต้องสู้น้ำอยู่บ้าง ทางลงก็ลงได้ 2 ทาง แบบสู้น้ำแล้ว Jump เลย หรือ เดินไปข้างๆ สบายๆ แล้วค่อยๆ ไต่ลง ให้เราเลือก เราขอ Jump เลย แต่ส่วนใหญ่ จะขึ้นกับการไต่ของเราว่า ไต่ไปทางไหนมากกว่า ก็จะได้ลงทางนั้น
น้ำตกที่ 2 ก็ท้าทายใช่ย่อย ทางช่องแคบ ช่วงน้ำไหล ต้องยั้งตัวสู้กับกระแสน้ำ ไต่ลงมาถึงด้านล่าง รองเท้าหลุดกระจายเลยจ้า ต้องไปไล่ตามเก็บ น้ำตกนี้น้ำแรงดีแท้
น้ำตกที่ 3 เราก็คนแรกเช่นเคย น้ำตกนี้ ต้องยกขาสูงเพื่อไต่ลง มีจุดที่ต้องย้ายข้าง จากขวามาซ้าย ก่อนจะ ไต่ลงเพื่อให้หลบน้ำตกได้ เราติดขัดเล็กน้อยแต่ก็ผ่านมาได้ แต่มิ้นมาคนที่สอง ติดอย่างหนัก จนผลสุดท้าย ต้องห้อยหัวลง เราเป็นหนึ่งคนกับ staff ด้านล่างที่เห็นสภาพความอุตสาหะในการลงมาของมิ้น 555 ลงมาได้ นอนหมดแรงเลย เสียดายไม่ได้ถ่ายวิดิโอให้เป็นที่ระลึก กล้องไม่อยู่ที่เรา มิ้นเป็นตัวอย่างที่ทำให้มีเจ้าหน้าที่มาอยู่ตรงจุดเปลี่ยน คนที่เหลือก็เลยลงมาได้อย่างสบาย กลายเป็นทุกคนบอกว่า เราเป็นตัวอย่างที่ไม่ดี ดันลงมาได้เอง ทำให้มิ้นลำบาก เอ่อ ขอโทษค่ะ ที่ลงมาได้
มีคลิปมาให้ดู ถึงภาพตอนลง ทั้งจากด้านบน และ จากด้านล่าง จะเห็นว่า มันไปติดขัดที่ตรงไหนได้
น้ำตกที่ 4 น้ำตกนี้ก็สนุก เดินมามองทางลงกันไม่เห็นเลย ผามันตัดมาก ลงมาตรงๆ แล้ว เหมือนต้องปล่อยตัว วูบเอนมาทางด้านขวา เจ้าหน้าที่ช่วยบังคับทิศทางให้ จากนั้นก็ไต่ลงมา หรือถ้านึกสนุก เค้าก็จะให้ Jump ลงมาเลย เราว่า ประหยัดแรงกว่าเยอะ น้ำตกนี้ก็สูงอยู่เหมือนกัน 25 เมตรได้
บางจุดเจ้าหน้าที่เค้าอธิบายไปแล้ว แต่เราพึ่งเดินไปถึง ก็ยังไม่วายต้องลงไปก่อนคนแรก ทุกคนพร้อมใจกันถอย ขณะที่พี่กั้งก็อธิบายให้เราฟังอีกรอบ พร้อมหลบให้เราไปก่อนเลย เอ่อ ค่ะ ได้ค่ะ
จากนั้นก็เป็นช่วงกระโดด กระโดด แล้วก็กระโดด มีทั้งแบบมีช่องบังคับให้เสียวเล่นว่าจะชนไหมในระยะความสูง 5 เมตรได้ อีกจุดมีตำแหน่งยืน คือแง่งในการยืนที่แน่นอน ต้องอยู่ตรงนี้ก่อนจะกระโดด พอโดดลงไป ก็เจอกำแพง ต้องปีนขึ้นไปทั้งชูชีพ ก็มีความลำบากอยู่ เจ้าหน้าที่บอกว่า มีช่องให้มุดใต้น้ำได้นะ แต่คือ ใส่ชูชีพอยู่จะมุดยังไง จุดสุดท้าย เบาๆ แค่ 2 เมตร ช่วงตอนกระโดด สมาชิกหญิงคนใหม่ของเราเป็นผู้นำจ้า เพราะยืนอยู่ตรงนั้น ไม่ถอยให้เราไปเหมือนพี่เรา เพราะฉะนั้นก็นำไปเลย จบกิจกรรมเดินตามทางไปเรื่อยๆ ไปเจอแม่น้ำร้อน กั้นเป็นบ่อธรรมชาติให้แช่น้ำเล่นได้
เป็นกิจกรรมที่สนุก และท้าทายมาก เรียกได้ว่า มัน เสียว และ ต้องใช้เทคนิคไต่เชือกยิ่งกว่าที่เคยเห็นกับ Kawason Canyoneering ซะอีก เราว่า ถือเป็นอีก Hi light ได้เลย ขาดแค่ น้ำตกสีไม่สวยเท่านั้นเอง
มิ้นมาสารภาพที่หลังว่า ถ้ามีผู้ชายคนอื่นอยู่ด้วยนะ จะของอแง แต่นี่มีแต่ผู้หญิงทั้งนั้นเลย เลยงอแงไม่ได้ 555 ส่วนพี่ผู้ชายอีกคนในทริป ไม่ไปตั้งแต่แรกแล้วจ้า นอนรออยู่ที่พักเลย
จบกิจกรรมน้ำตกก็ไปนั่งแช่น้ำร้อนที่บ่อน้ำร้อน ออกแนว บ่อโคลนมากกว่า อยู่ในป่า ร่มรื่นดี
นั่งรถตากลมจนตัวแห้ง มาทานข้าวกลางวันมื้อบ่ายมากกกกกก เป็นไก่ย่าง ปลาย่างตรงที่พักของทัวร์
นั่งพักสักพักก็เอาอุปกรณ์ดำน้ำตื้น เดินไปจุดดู Sardine Run แต่ว่า ให้เหมาะ ควรมาดูช่วงสายนะ เพราะตอนนั้น น้ำขึ้น จะเห็นชัดมาก จากประสบการณ์คราวที่แล้ว คราวนี้น้ำลด ปลาเลยไปอยู่ตรงที่ลึก เลยเห็นไกลๆ คราวนี้ก็ชมปลาเล็กปลาน้อยไปละกัน
ไปคืนอุปกรณ์ อาบน้ำ แล้วก็ไปกินข้าวกัน ข่าวว่า เพิ่งกินไปเองนะ แหะๆ
แล้วข่าวไม่ค่อยดีว่าด้วยเรื่อง มีฝนตกทั่วบริเวณ อาจจะทำให้เข้า Kawason ไม่ได้ แต่ต้องไปลุ้นหน้างาน
มื้อเย็น Cafe Cebuano Moalboal ร้านกึ่งบาร์ ดูดี หมดไป 4230 เปโซ
Day 3 Canyoneering at Kawason Fall
วันนี้กินข้าวตอน 7.30 น. สั่งอาหารไว้ล่วงหน้าแล้ว ก็จะเร็วเลย กลับไปเอากระเป๋าใหญ๋เช็คเอาท์เลย 9 โมงเดินทางไป Kawason Fall ถึงประมาณ 10 โมงเพื่อรับรู้ว่า ปิดให้บริการ เนื่องจากน้ำป่าเข้าเมื่อชั่วโมงที่แล้ว แงงงงงงง ครั้งที่ 2 แล้วนะ
ทัวร์แนะนำให้ไป Aguinid Fall แทน เพราะเราไป Montaneza fall แล้ว ก็ต้องตามนั้น ไม่มีทางเลือกอื่น ปรากฏ น้ำตกนี้เป็นน้ำตกเดียวกับที่โรงแรมที่ oslob แนะนำให้ไปเที่ยวแทน Tumalog Fall แต่งตัวเต็มที่ หมวกกันน๊อก ชูชีพ เพื่อมาเที่ยวน้ำตกเด็กน้อย 555 ทีมสตามมากัน 4 คน เจอบังคับ Local guide อีก 2 คน พยายามชวน Photo photo ตลอด ตอนแรกๆ ก็ยังเซ็งๆ อยู่ พอทำใจได้แล้ว ก็ค่อยปล่อยใจไป ขำๆ ดีเหมือนกัน ก็ถ่ายรูปเล่นกันเต็มที่ ถ้าใครมา Oslob แล้วมีเวลา ก็แนะนำให้มาที่นี่นะ ขับรถมา 1 ชั่วโมงจ้า
ชิวกันพอสมควร เล่นกันไปท่ามกลางสายฝน จนตก จนหยุด เราก็ใช้เวลากันคุ้มค่าจริงๆ พอจะกลับ ก็ต่อรองกับทัวร์ว่า ไม่กลับไปกินข้าวด้วยแล้วนะ ขอให้รถคันนี้เลยไปส่งเราที่ Oslob เลยละกัน เจ้าหน้าที่ที่มากับเราเหมือนตัดสินใจไม่ได้ สุดท้ายโทรหาเจ้านายได้ ก็เลยตามใจเรา สบายไป ไม่ต้องนั่งรถย้อน แต่เจ้าหน้าที่ลำบากแทน แหะๆ เลยให้ทิปไปหนักหน่อย ค่าเสียเวลา และค่าหิว
มารู้ตอนหลัง จากคนที่ข้ามกิจกรรมอีกเช่นเคยว่า เจ้าหน้าที่มีห้ามคนเข้าไปเป็นช่วง ตามปริมาณฝน มิน่า เราถึงรู้สึกว่า เหมือนได้ครอบครองพื้นที่อยู่แค่กลุ่มเดียว ไม่เห็นมีกลุ่มใหม่เพิ่มเข้ามาเท่าไหร่ น้ำตก 5 ชั้น ก็พาเพลินได้ การจัดการระบบของที่นี่ค่อนข้างดี กระจายรายได้ให้คนท้องถิ่นชัดเจน
เราเข้าที่พักกันได้ ก็อาบน้ำ สั่งอาหารมากินกลางวันมื้อบ่ายแก่อีกเช่นเคย วันนี้ชิวๆ เลยจ้า พักผ่อนกันสุดๆ นั่งๆ นอนๆ เดินเล่นในทะเล เจอหมู่บ้านปูเสฉวน เล่นโดรน กินข้าว เล่นเกมกัน ย้ายมุมนั่งไปเรื่อยๆ ตามฝน ตามแดด
จ่ายค่าทัวร์ Whale Shark watching กับโรงแรมโลด เราตัดใจจาก Kawason Canyoning กันเรียบร้อย แม้ทัวร์จะเสนอให้จ่าย 1500 เปโซถ้าจะยังคงไปในวันรุ่งขึ้น ดีแล้วที่ตัดสินใจแบบนั้น เพราะคืนนี้ฝนก็ตกกระหน่ำอีกเช่นเคย
ค่าอาหารกลางวัน + เย็น + ทิป 5900 เปโซ
2 ทุ่มกว่าๆ ก็เข้านอนกันแล้วจ้า แต่นั่งเล่นกันมาหลายชั่วโมงมากเลยนะ
ที่พัก Downsouth Beach Resort, Oslob วันนี้ เราก็นอนกับเพื่อนกลุ่มเดิม เคยมาพักที่นี่แล้ว ก็เลยกลับมาอีก แต่ราคาแพงขึ้นเป็น 1000 เปโซเหมือนกันนะ จองตรง มีแถมเรือคยัค
Day 4 Whale Shark watching, Cebu city and Cebu Airport
ตีห้าครึ่ง พร้อมออกเดินทางไปเลยจ้า ใช้เวลา 15 นาที เราไปลงเป็นลำแรกๆ เลย ความเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดคือ ระบบการจอดรถ ให้ไปจอดด้านนอก ไม่มีรถแน่นข้างในแล้ว เรือเมื่อออกไปแล้ว จะไปเข้าแถวเป็นแนวยาว ไม่มีการรวมกลุ่มใดๆ ส่วนเรือให้อาหารจะคอยล่อให้เป็นแนว เป็นการเฉลี่ยคน และให้แต่ละคนอยู่ในพื้นที่ตัวเองได้เป็นอย่างดี สู้รบกับแค่คนในเรือตัวเอง วันนี้คลื่นค่อนข้างสงบนะ ฉลามวาฬก็มากันเยอะ ไม่ต่ำกว่า 5- 6 ตัว มีตัวใหญ่มาก คอยกินอาหารอยู่ แบบแนวดิ่งเลยนะในบางจังหวะ เหมือนเลี้ยงปลาสวายเลย แล้วก็มีนางแบบชุดขาวเข้ากล้องอยู่ตลอดเวลาเช่นกัน ตอนหลัง เราไม่ถ่ายรูปละ นั่งมองอย่างสงบ สบายกว่าเยอะ ให้เวลา 30 นาทีเช่นเคย
กลับถึงที่พักยังไม่ 7 โมงเลย ก็เลยไปพายเรอคยัค เล่น Stand up Padding กันต่อ ทะเลสงบเลยบังคับค่อนข้างง่าย อาบน้ำ กินข้าว นั่งคุย เขียนบันทึก รอรถมารับกลับเข้า Cebu City ตอน 11 โมง
นั่งกันมาไม่นอน มีคนบ่นหิวแล้ว ก็แวะทานข้าวร้านอาหารริมทาง ริมถนนเช่นเคย เหมาปลาเค้ามาหมดร้านเลยมั้ง โดนไป 1020 เปโซ (ปลาตัวเล็ก 8 ตัว) บ่ายสามก็ถึงตัวเมือง แวะเดินเล่นในห้างรอเวลาขึ้นเครื่องบิน ทานร้านอาหารจานด่วน Mang Inasal ร้านไก่ย่าง เราว่า เจ้านี้อร่อยกว่า ไก่ทอดนะ หมดไป 881 เปโซ
ถึงสนามบิน ก็ต้องมีค่า Airport Fee 850 เปโซ อ้อ เรารวมเหรียญให้คนขับรถไปเป็นทิปเพิ่มด้วย น่าจะหลายตังค์อยู่ วันนี้ ไม่มีดีเลย์ใดๆ มีถ่ายภาพเป็นที่ระลึกให้ในสนามบินด้วย บริการตัวเองนะ กลับบ้านโดยสวัสดิภาพ
ท่องเที่ยวแบบผจญภัย กับ ประเทศเพื่อนบ้าน ใครชอบ หรือ อยากลองแนวนี้ ตามๆกันมาเลย นอกจาก Canyoning ที่เราไปมา หรือ พลาดไป ก็ยังมีที่ Tison Falls ด้วยนะ จะออกแนวใช้เทคนิคเหมือนกับที่ Montaneza Fall
ค่าใช้จ่าย
- ค่า Package Tour กับ Planet Action Tour http://www.action-philippines.com/
- Pick up from the airport, Osmena Peak, 2 Canyoning (3 Days) and drop off at the airport คนละ 7300 เปโซ
- Whale Shark watching (ซื้อกับโรงแรม รวมรถรับส่ง และอุปกรณ์) คนละ 1300 เปโซ
- ค่าเครื่องบิน Philippine Airlines คนละ 6970 บาท
- ค่าธรรมเนียมสนามบินที่ Cebu city กรณีเดินทางต่างประเทศ 850 เปโซ
- ค่าโรงแรม
- D’Keco Hotel 2 คืน คนละ 1274 บาท เปโซ โรงแรมใหม่ มีที่ตากผ้าบนดาดฟ้า ไม่มีร้านอาหารในโรงแรม
- Downsouth 118 at Oslob 1 คืน คนละ 1150 เปโซ โรงแรมดูน่ารัก น่านั่งเล่นพักผ่อน
- ค่าอาหาร + tip คนละ 3050 เปโซ
รวมค่าใช้จ่าย ประมาณ 17,300 บาท
อัตราแลกเปลี่ยน .605 บาท – 1 เปโซ
สมาชิก 8 คน 3 ก อ้อม มิ้น วิ พี่โป้ง พี่หญิง
- เราจะพลาด Kawason Fall กันอีกกี่ครั้ง ถ้ามีคราวหน้า ต้อง ธ.ค. – เม.ย. เท่านั้น และ บินตรง ราคาโปรโมชั่น
- พี่โป้งใช้โรงแรมคุ้มมาก
- ผู้หญิงเรา แข็งแกร่งกันทุกคน ไม่มีงอแง
เครดิตภาพถ่าย กล้องพี่กั้ง กล้องกบ กล้องพี่หญิง กล้องมิ้น
ปีน ไต่ ไถตัวบนเขาจ๊อกต่อง แฝดน้องของ เขาสันช้างเผือก นอนเหมืองสมศักดิ์ (บ้านป้าเกล็น) เยือนซาฟารีปาร์ค กาญจนบุรี 2-3 ธ.ค. 60
Posted December 5, 2017
on:- คนละ 20,175 บาท ซื้อเร็วไปนิดนึง ถ้าได้โปรจะได้ที่ 15000 เหมือนกัน
- มาฮานแอร์คนละ 15,000 บาท